Love to Read

LOVE TO READ อ่านมากรู้มาก อ่านน้อยรู้น้อย ไม่อ่านไม่รู้



วันเสาร์ที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2555

แชมป์ งานศิลปหัตถกรรม ครั้งที่ ๖๒ ภาคเหนือ




เกียรติบัตร Obec Awards Download ได้ตาม Link ข้างล่าง

Print เกียรติบัตรกรรมการกลาง กรรมการจัดการแข่งชัน มัธยม-ประถม => [ Click ]
Print เกียรติบัตรกรรมการตัดสิน มัธยมฯ => [ Click ]
 Print เกียรติบัตรกรรมการตัดสิน ประถมฯ => [
Click ]
Print เกียรติบัตรนักเรียน และ ครู

ให้เข้าระบบโรงเรียนเช่นเดียวกับการลงทะเบียนแข่งขัน
http://www.km-cm1.net/index.php?name=news&file=readnews&id=210
โทร. ศูนย์ประสานงาน สพป.ชม. 1 : 053-112333


วันพุธที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2555

อันดับ 5 : Barack Obama vs Mitt Romney. Epic Rap Battles Of History Season 2.

อันดับห้า ได้แก่ Barack Obama vs Mitt Romney. Epic Rap Battles Of History Season 2.  คลิปเพลงแร็พล้อเลียนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2012 ระหว่างบารัก โอบามาและมิต รอมนีย์





อันดับ 4 : Call Me Maybe

อันดับสี่ 



คลิปลิปซิงก์เพลง Call Me Maybe ของคาร์ลี เรย์ เจพเซ่น โดยจัสติน บีเบอร์ เซเลนา โกเมซ และเพื่อนๆ ซึ่งทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา


Call Me Maybe

          มิวสิควิดีโอเพลงนี้ เพิ่งจะเปิดตัวออกมาตั้งแต่ปี 2011 แล้ว แต่ที่ทำให้มันกลายเป็นคลิปวิดีโอที่มีผู้ชมล้นหลาม ก็เพราะหนุ่มจัสติน บีเบอร์ เอาไปทวีตลงในทวิตเตอร์นั่นเอง งานนี้ก็เลยทำให้ผู้คนหลั่งไหลกันเข้ามาดู จนกลายเป็นคลิปวิดีโอฮอตฮิตติดอันดับในที่สุด  มีคนคลิกเข้าไปชมมากถึง 22,500,382 คน (ยี่สิบสองล้านห้าแสนสามร้อยแปดสิบสองคน) ณ เวลา 4.17 น.วันนี้ วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555  (ผู้เขียนเข้าไปชมเป็นคนที่ 22,500,382)



อันดับ 3 : KONY 2012

อันดับ 3


           สารคดีขนาดยาว 30 นาทีที่มีคนแชร์ต่อมากที่สุดในโลก วิดีโอนี้จัดทำโดยกลุ่ม Invisible Children ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงและมีผู้ให้ความสนใจชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน






      เป็นคลิปวิดีโอที่กลุ่มนักเคลื่อนไหวชื่อว่า "Invisible Children" ตั้งใจทำออกมาเพื่อบอกเล่าเรื่องราวความโหดร้ายของ โจเซฟ โคนี่ อาชญากรสงครามแห่งยูกันดา ที่ลักพาตัวเด็กออกจากอ้อมอกของพ่อแม่ เพื่อนำเด็กไปเป็นนักรบบ้าง เหยื่อกามารมณ์บ้าง และนำไปทรมานทารุณและฆ่าบ้าง เป็นระยะเวลากว่า 26 ปีแล้ว ซึ่งทำให้เด็ก ๆ ในยูกันดามีชีวิตอยู่กันอย่างหวาดผวา และวิดีโอนี้ได้กลายเป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ ระดับโลกไปช่วงนี้ เพราะมีหลายฝ่ายออกโรงมาวิพากษ์วิจารณ์ว่ามีเนื้อหาบิดเบือนความจริง และเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียวเท่านั้น


อันดับ 2 : Somebody That I Used to Know

                          
                                                                      อันดับสอง



วิดีโอคัฟเวอร์ เพลง Somebody That I Used To Know  ของโกทีเย (Gotye) โดยวง Walk off the Earth จากแคนาดา โดยมีการใช้นักดนตรี 5 คนในการเล่นกีต้าร์ 1 ตัว  มีผู้เข้าชมมากถึง 141,121,131 คน







ฮอตฮิตติดชาร์ตขึ้นอันดับ 1 บิลบอร์ดเลยทีเดียว  สำหรับ Somebody That I Used to Know เพลงเพราะ ๆ จากศิลปินหนุ่ม Gotye ที่ฟีเจอริ่งกับ Kimbra จึงไม่แปลกที่มิวสิควิดีโอเพลงนี้จะได้รับความนิยมมากตามไปด้วย และแรงข้ามปีด้วย




อันดับ 1 ได้แก่ PSY - GANGNAM STYLE (강남스타일) M/V

  • อันดับหนึ่ง ได้แก่ PSY - GANGNAM STYLE (강남스타일) M/V   เพลงกังนัมสไตล์ของไซ (Psy) นักร้องชาวเกาหลีใต้ ซึ่งมียอดผู้ชมสูงถึง 971,518,818 ครั้ง และกลายเป็นวิดีโอที่มีคนดูมากที่สุดตลอดกาลในเวลาเพียง 6 เดือน




    • อันดับสองได้แก่

    10 คลิปของ YouTube ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด แห่งปี 2012


    เว็บไซต์ YouTube สรุป  

     "10 คลิป แห่งปี 2012"   ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุด


    เว็บไซต์ยูทูปทำคลิปลิบซิงก์ เพลงกังนัมสไตล์ และเพลง Call Me Maybe 
    สรุปเทรนด์คลิปวิดีโอปี 2012 ที่กำลังจะผ่านไป 
    โดยมีนักร้องเกาหลีใต้ ชื่อไซ    
    ซึ่งเพลงของเขามีคนดูมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ในยูทูป 
    พร้อมบรรดาคนดังในยูทูปร่วมแสดงด้วย


    คลิปวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดในปี 2012 
     จำนวน 10 อันดับแรก ได้แก่

    • อันดับหนึ่ง ได้แก่ PSY - GANGNAM STYLE (강남스타일) M/V   เพลงกังนัมสไตล์ของไซ (Psy) นักร้องชาวเกาหลีใต้ ซึ่งมียอดผู้ชมสูงถึง 971,518,818 ครั้ง และกลายเป็นวิดีโอที่มีคนดูมากที่สุดตลอดกาลในเวลาเพียง 6 เดือน
      • อันดับสองได้แก่ Somebody That I Used to Know - Walk off the Earth (Gotye - Cover)  วิดีโอคัฟเวอร์เพลง Somebody That I Used To Know ของโกทีเย (Gotye) โดยวง Walk off the Earth จากแคนาดา โดยมีการใช้นักดนตรี 5 คนในการเล่นกีต้าร์ 1 ตัว  มีผู้เข้าชมมากถึง 141,121,131 คน
      • อันดับสาม ได้แก่ KONY 2012  สารคดีขนาดยาว 30 นาทีที่มีคนแชร์ต่อมากที่สุดในโลก วิดีโอนี้จัดทำโดยกลุ่ม Invisible Children ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงและมีผู้ให้ความสนใจชนิดที่ไม่เคยมีมาก่อน
      • อันดับสี่ ได้แก่  "Call Me Maybe" by Carly Rae Jepsen - Feat. Justin Bieber, Selena, Ashley Tisdale & MORE!  คลิปลิปซิงก์เพลง Call Me Maybe ของคาร์ลี เรย์ เจพเซ่น โดยจัสติน บีเบอร์ เซเลนา โกเมซ และเพื่อนๆ ซึ่งทำให้เพลงนี้กลายเป็นเพลงฮิตเมื่อฤดูร้อนที่ผ่านมา
      • อันดับห้า ได้แก่ Barack Obama vs Mitt Romney. Epic Rap Battles Of History Season 2.  คลิปเพลงแร็พล้อเลียนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ 2012 ระหว่างบารัก โอบามาและมิต รอมนีย์
      • อันดับหก ได้แก่ A DRAMATIC SURPRISE ON A QUIET SQUARE  คลิปโฆษณาจาก TNT ช่องทีวีของเบลเยียม โดยทีมงานวางปุ่มแดงกลางจัตุรัสเมืองเฟลมิช รอให้คนมากดและเกิดฉากแอคชั่นขึ้นมากมาย
      • อันดับเจ็ด ได้แก่ WHY YOU ASKING ALL THEM QUESTIONS? .. #FCHW   คลิปของเอ็มมานูเอล ฮัดสัน ร่วมกับ Spoken Reasons คนดังบนยูทูบ ร้องเพลงแร็พบ่นเรื่องที่แฟนสาวมักจะถามอยู่ตลอด เช่นว่า ไปไหน กับใคร ที่ไหน เมื่อไหร่ จริงเหรอ?
      • อันดับแปด ได้แก่  Dubstep Violin- Lindsey Stirling- Crystallize  คลิปของ ลินเซย์ สเตอริง นักไวโอลินชาวอเมริกัน ซึ่งแสดงไวโอลิน บวกกับการเต้น dubstep ท่ามกลางภูเขาน้ำแข็ง
      • อันดับเก้า ได้แก่ Facebook Parenting: For the troubled teen.  คลิปที่ชายคนหนึ่งทำเพื่อแก้แค้นลูกสาว โดยหลังจากอ่านข้อความของลูกสาววัย 15 ปี ซึ่งโพสต์บ่นเรื่องงานบ้านที่เธอต้องทำและความยุ่งยากที่พ่อแม่สร้างให้กับชีวิตของเธอบนเฟซบุ๊ก แต่บล็อคไม่ให้เขาเห็น ชายคนดังกล่าวก็ยิงแล็บท็อปของเธอด้วย ปืน .45
      • อันดับสิบ  ได้แก่  Felix Baumgartner's supersonic freefall from 128k' - Mission Highlights  คลิปที่เครื่องดื่มชูกำลังกระทิงแดง ส่งฟิลิกซ์บามการ์ทเนอร์   ดิ่งมาจากชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์    ที่สูงกว่า 39,045 เมตร



      ที่มา: http://www.youtube.com/user/theyearinreview
      Wed, 2012-12-19 01:26  
      วันพุธที่ 19 ธันวาคม 2555
      ขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก http://prachatai.com/journal/2012/12/44280


      วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

      21-12-2012 โลกไม่ได้แตก

      นาซาปล่อยคลิปไขข้อข้องใจ ทำไมโลกไม่แตก 21 ธ.ค. นี้

      
      ScienceCasts: Why the World Didn't End Yesterday

                  กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงกันมากที่สุดในหน้าสื่อขณะนี้เลยทีเดียว สำหรับวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ที่คนหลายกลุ่มเชื่อกันมาตลอดว่าเป็นวันสิ้นโลก ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีผู้เชี่ยวชาญออกมายืนยันแล้วว่าโลกไม่แตกแน่นอน แต่เรื่องนี้ก็ยังได้รับการพูดถึงอยู่ไม่สร่างซา ล่าสุดนาซ่าได้เปิดเผยคลิปวิดีโอน่าสนใจออกมาคลิปหนึ่ง เป็นความจริงเกี่ยวกับวันสิ้นโลกที่ไม่ควรพลาดเลยทีเดียว            คลิปวิดีโอดังกล่าวถูกเปิดเผยออกมาเมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา เป็นคลิปวิดีโอที่มีชื่อว่า"The World Didn't End Yesterday" หรือ โลกไม่ได้แตกเมื่อวานนี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วน่าจะจัดทำขึ้นมาเพื่อเผยแพร่ในวันที่ 22 ธันวาคม 2012 หรือก็คือหลังวันโลกแตก 1 วัน แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร จู่ ๆ ถึงได้เผยแพร่ออกมาก่อนกำหนดถึง 11 วัน
                  แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดคงไม่สำคัญ เพราะสิ่งที่น่าสนใจอยู่ที่เนื้อหาภายในคลิปวิดีโอนี้มากกว่า โดยมีการไขข้อข้องใจเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องวันสิ้นโลก และลบล้างความเชื่อเรื่องโลกแตกที่เคยมีมาตลอดได้ดีเลยทีเดียว
                   เนื้อหาในคลิปเริ่มต้นขึ้นด้วยประโยคที่ว่า  "ถ้าหากพวกคุณได้ดูคลิปวิดีโอนี้  นั่นหมายถึงว่าโลกของเราไม่ได้อวสานไปเมื่อวานนี้" ก่อนที่จะอ้างคำยืนยันของดอกเตอร์จอห์น คาร์ลสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์สมัยโบราณ ว่าตลอด35ปีที่เขาศึกษาด้านดาราศาสตร์โบราณ และได้ศึกษาปฏิทินมายา เขาพบว่าปฏิทินมายาถูกนำไปตีความผิดต่าง ๆ นานามาหลายปีแล้ว จริง ๆ แล้วปฏิทินมายาไม่ได้ระบุเลยสักนิดว่า โลกจะถึงกาลอวสานในวันที่ 21 ธันวาคมนี้ มันเป็นแค่การสิ้นสุดรอบปฏิทินรอบหนึ่งตามหลักเทววิทยาของชาวมายันเท่านั้น เปรียบเสมือนกับปฏิทินรอบปีของคนทั่วโลก ที่สิ้นสุดที่วันที่ 31 ธันวาคม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหลังจากวันนั้นจะไม่มีวันใหม่ หรือจะเป็นวันที่โลกแตก
                 นอกจากนี้ นาซายังเปิดเผยเกี่ยวกับเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับดาวนิบิรุ ที่ชาวสุเมเรียนค้นพบตั้งแต่โบราณกาล และมีความเชื่อว่าดาวดวงนี้จะชนกับโลกในวันที่ 21 ธันวาคม 2012 ว่า ไม่มีดาวนิบิรุตามความเชื่อแต่อย่างใด และเร็ว ๆ นี้ ก็จะไม่มีดาวหรืออุกกาบาตที่ไหนพุ่งชนโลกด้วย เพราะถ้าหากจะมีดาวหรืออุกกาบาตพุ่งชนโลกจริง ๆ ป่านนี้คนบนโลกคงจะได้เห็นจุดเล็ก ๆ ปรากฏขึ้นบนฟ้าช้า ๆ และขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ให้เราได้เห็นเป็นเวลานานนับสัปดาห์หรือเป็นเดือนเลยทีเดียว ที่สำคัญ หากมีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้น นาซาก็คงจะตรวจสอบพบก่อนมันจะชนโลกล่วงหน้าได้เป็นสิบปีร้อยปี
                  ส่วนความเชื่อที่ว่า แม่เหล็กโลกจะเปลี่ยนขั้ว จนทำให้ทุกอย่างบนพื้นผิวโลกแปรปรวน เกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ไปพร้อม ๆ กันทั่วโลกนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้แต่อย่างใด และถ้าหากจะเกิดขึ้น ก็ต้องใช้เวลานานนับล้าน ๆ ปี ไม่ได้เกิดขึ้นคราวเดียวอย่างที่มีข่าวลือออกมาก่อนหน้านี้ ที่สำคัญ ระหว่างที่แกนแม่เหล็กโลกเปลี่ยนขั้ว สิ่งมีชีวิตบนโลกก็จะไม่รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงใด ๆ เลยด้วย           
                 ดังนั้น จึงไม่มีอะไรต้องหวาดกลัว เพราะสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องโลกแตก แต่เป็นเรื่องโลกร้อนที่เห็นผลกระทบชัดเจนขึ้นทุกวัน  เราจึงควรร่วมมือกันแก้ปัญหานี้ดีกว่า เพราะโลกร้อนนี่แหละ ที่เป็นตัวการทำให้สภาพอากาศเปลี่ยนแปลงทั่วโลก และเกิดภัยพิบัติทั่วโลก จนนำมาซึ่งความสูญเสียดังที่เคยเกิดขึ้นตลอดช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา





      ขอบคุณข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
      ขอขอบคุณภาพประกอบจาก คุณ NASAtelevision สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม

      วันพุธที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2555

      งานวิจัย เรื่อง รูปแบบการส่งเสริมการอ่านของเด็กปฐมวัยในทรรศนะของครูและผู้ปกครอง



      รูปแบบการส่งเสริมการอ่านของเด็กปฐมวัยในทรรศนะของครูและผู้ปกครอง:
      (Attitude of Teachers and Parents towards the Reading Encouragement Model for Early Childhood).
      สุขุม  เฉลยทรัพย์.  (2553). 
      กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต.  108 หน้า. (ส.ร. 372.4 424 ) 01/2554/48
                   ศึกษาความรู้ ทัศนคติ และความคาดหวังในการส่งเสริมการอ่าน  ศึกษาปัจจัยที่ส่งเสริมการอ่านเพื่อศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และความคาดหวังกับปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมการอ่าน รวมทั้งสร้างรูปแบบการส่งเสริมการอ่านให้แก่เด็กปฐมวัย   โดยศึกษาจาก ผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเด็กปฐมวัย ใช้วิธีการวิจัยคือ การสัมภาษณ์เชิงลึก จากประชากรกลุ่มเป้าหมายรวม 38 คน และสนทนากลุ่มรวม 21 คน   และ แบบสอบถาม สอบถามครูและผู้ปกครองเด็กปฐมวัยจำนวน 3,221 คน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2552 - พฤษภาคม 2553  สถิติที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐานการวิจัยคือ t-test และการหาความสัมพันธ์อย่างง่าย (Pearson Correlation Coefficient)
                  ผลการศึกษาพบว่า ความรู้ ทัศนคติ และความคาดหวังในการส่งเสริมการอ่านให้เด็กปฐมวัยของครูและผู้ปกครอง พบว่า การจัดการเรียนการสอนถูกแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เน้นพัฒนาการ จะส่งเสริมการอ่านตามความต้องการและธรรมชาติของเด็กปฐมวัย การอ่านในลักษณะนี้จะเข้าใจว่าเด็กอ่านได้ แต่จะอ่านไม่ออก เป็นการอ่านจากจินตนาการ อ่านตามผู้ใหญ่ เป็นการสร้างความคุ้นเคยระหว่างเด็กกับหนังสือ  กับเน้น การแข่งขัน จะเป็นการสอนอ่านแบบสะกดคำ อ่านตามความต้องการของผู้ใหญ่ เด็กสามารถอ่านได้ แต่ไม่ได้เกิดจากความต้องการของตนเอง ทำให้ไม่อยากอ่าน  ปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมการอ่านของเด็ก คือการอ่านให้เด็กฟัง ไม่บังคับให้เด็กอ่านให้ออก รวมทั้งสภาพแวดล้อมรอบตัวเด็ก พ่อแม่ หรือคนที่ใกล้ชิด  สื่อหรือหนังสือควรเหมาะสมกับวัย มีรูปภาพประกอบ หนังสือควรมีหลายประเภท 
      ความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ทัศนคติ และความคาดหวังกับปัจจัยที่มีผลต่อการส่งเสริมการอ่าน พบว่า ความรู้ ทัศนคติ ความคาดหวังและปัจจัยในการส่งเสริมการอ่านด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญามีความสัมพันธ์กับปัจจัยด้านสติปัญญาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 นอกนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01  รูปแบบการส่งเสริมการอ่าน คือต้องมีนโยบายที่ชัดเจนจากกระทรวงหรือหน่วยงานที่รับผิดชอบ
                  รูปแบบ “3 มีแบบ “3เส้า คือ ต้องมีนโยบาย ต้องมีความเข้าใจ และต้องมีกิจกรรม โดยทั้ง 3 ส่วน ต้องมีความสอดคล้องซึ่งกันและกัน ดำเนินงานด้วยจิตอาสา และจิตสาธารณะ

      ขอบคุณข้อมูลดี เพื่อการแบ่งปัน  http://library.cmu.ac.th/rsc/?newsdetail.php&id=284
      ขอบคุณภาพประกอบจาก Google



      การอ่านหนังสือของคนไทย...ในวันนี้



      การอ่านหนังสือของคนไทย 
       
      • จากวันนี้ไป นับถอยหลังอีก 31 วัน จะเข้าสู่ปี 2556
      • และในปี 2558 ประเทศไทยจะเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน
      • ประกอบด้วยไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไน เวียดนาม ลาว พม่า กัมพูชา มีประชากรรวมกันประมาณ 570 ล้านคนโดยประมาณ 

      มั่นใจกันถึงขนาดว่า ประชากรในกลุ่มอาเซียนขนาดนี้ น่าจะทำให้เพิ่มศักยภาพในการบริโภค เพิ่มอำนาจการต่อรองในระดับโลก มีแรงดึงดูดเงินลงทุนที่อยู่นอกอาเซียนเข้ามามากขึ้น ในทำนองว่าสิบเสียงย่อมดังกว่าเสียงเดียวว่างั้นเถอะ 

      แต่พอมาดูผลการสํารวจการอ่านหนังสือของประชากรไทย ปี 2554 ของสํานักงานสถิติแห่งชาติ เผยแพร่ในปี 2555แล้ว ขอสรุปมาให้เห็นถึงความน่าสนใจในหลายประเด็นที่รัฐบาลหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหลาย โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาธิการนำไปคิดต่อที่ว่า 

      เมื่อเปรียบเทียบอัตราการอ่านหนังสือของประชากร ซึ่งสํารวจไว้ในปี 2551 กับปี 2554 พบว่า
      • กลุ่มเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 36.0 เป็นร้อยละ 53.5 
      • ขณะที่กลุ่มผู้ที่มีอายุ 6 ขวบขึ้นไป มีอัตราการอ่านหนังสือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จากร้อยละ 66.3 เป็นร้อยละ 68.6 เท่านั้น
      • และยังพบว่าในเขตเทศบาลมีอัตราการอ่านหนังสือสูงกว่านอกเขตเทศบาล 
      •  
      ที่น่าสนใจ คือ
      • เด็กเล็กมีความถี่ในการอ่านหนังสืออย่างน้อย 1 วันต่อสัปดาห์มีเพิ่มมากขึ้น
      • เด็กเล็กในกรุงเทพมหานครมีอัตราการอ่านหนังสือสูงสุด
      • ขณะที่ภาคอีสานเด็กเล็กมีอัตราการอ่านหนังสือต่ำสุด 
      สําหรับวัยเยาวชนและวัยทํางานส่วนใหญ่อ่านหนังสือพิมพ์ อ่านนิตยสาร
      วัยสูงอายุส่วนใหญ่อ่านหนังสือ/เอกสารเกี่ยวกับคําสอนทางศาสนา รองลงมาคือ หนังสือพิมพ์ 
      หนังสือพิมพ์ยังคงเป็นประเภทที่มีผู้อ่านสูงสุด ถึงร้อยละ 63.4
      รองลงมา คือ ตําราเรียน/เอกสารที่ให้ความรู้ นวนิยาย/การ์ตูน/หนังสืออ่านเล่น นิตยสาร 
       
       
      ผู้อ่านหนังสือที่มีอายุตั้งแต่ 6ขวบขึ้นไปทั้งหมด
      • ใช้เวลาอ่านหนังสือนอกเวลาเรียน/นอกเวลาทํางานเฉลี่ย 35นาทีต่อวัน
      • กลุ่มเด็กและเยาวชนใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย 39-43 นาทีต่อวัน
      • มากกว่ากลุ่มวัยทํางานและสูงอายุที่ใช้เวลาอ่านหนังสือเฉลี่ย ประมาณ 31-32นาทีต่อวัน 

      ที่มา ข่าวสดออนไลน์ วันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
      เลาะเลียบคลองผดุงฯ 
      ตุลย์ ณ ราชดำเนิน tulacom@gmail.com
       




      วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

      “บ้านเมืองปอน” ขุนยวม แม่ฮ่องสอนวิถีชุมชนไทยใหญ่ กลางหุบเขาอันเงียบสงบ


      ทุ่งดอกบัวตองใน อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน 
      (ขอบคุณภาพจาก Google)

           ณ ห้วงเวลาเริ่มต้นของฤดูกาลแห่งเหมันต์ ปลายฝนต้นหนาว เช่นนี้ ใครต่อใครต่างก็เอ่ยถึง “อำเภอขุนยวม” จังหวัดแม่ฮ่องสอน   เนื่องด้วยที่นี่ถือเป็น “เมืองหลวง” ของดอกบัวตอง ที่กำลังเบ่งบานเหลืองอร่ามเต็มเทือกดอยแม่อูคอ และนอกจากดอกบัวตอง บนดอยแม่อูคอ จะเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยวแล้ว อำเภอขุนยวมแห่งนี้ยังมีสิ่งที่น่าสนใจให้ติดตามมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “บ้านเมืองปอน”

           บ้านเมืองปอน ตั้งอยู่บนทางหลวงหมายเลข 108 สายขุนยวม-แม่ลาน้อย ห่างจากตัวอำเภอขุนยวม ประมาณ 13 กิโลเมตร โดยเป็นหมู่บ้านชุมชนชาวไทใหญ่ที่อยู่กันมานานกว่า 200 ปี  รายล้อมไปด้วยทุ่งนาและป่าเขา มีลำน้ำปอนเป็นสายน้ำหล่อเลี้ยงชีวิต ชาวบ้านใช้ชีวิตเรียบง่ายตามวิถีทางการเกษตรชาวไทใหญ่หรือชาวไต ณ บ้านเมืองปอน ยังคงอัตลักษณ์ความเป็นอยู่และขนบธรรมเนียมประเพณีไว้อย่างเหนียวแน่น และในทุกวันนี้ชุมชนแห่งนี้ พร้อม “เปิดบ้าน”อวดสิ่งดีๆ และต้อนรับผู้มาเยือนทุกท่านด้วยความเป็นมิตร

           สิ่งดีๆ ณ ที่งดงามแห่งนี้มีให้สัมผัสกันมากมาย เริ่มต้นด้วยแรกที่มาสัมผัส ท่านจะได้สัมผัสกับอากาศอันบริสุทธิ์ ตามแบบฉบับของหมู่บ้านในขุนเขา และความเป็นมิตรของผู้คน พร้อมทั้งสัมผัสกับหัตถกรรมพื้นบ้าน และของฝากของที่ระลึกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการทำจองพารา (ปราสาทของพระพุทธเจ้า ที่ทำถวายในช่วงปอยเหลินสิบเอ็ด หรือประเพณีออกพรรษา) , การฉลุ และตัดเย็บเสื้อไทยใหญ่ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ไม่เหมือนใครตรงที่ “กระดุม” อันสวยงาม , การจักสานกุ๊บไต และขนมข้าวตอกปั้น ข้าวแต๋น และอื่นๆอีกมากมาย    นอกจากหัตถกรรมและสินค้าพื้นบ้านแล้ว บรรยายกาศรายล้อมยังคลาสสิคไปด้วย “เรือนไม้แบบไทยใหญ่” ที่มีลักษณะการปลูกบ้านอยู่ 2 แบบด้วยกัน  ได้แก่ “เรือนโหลงสองส่อง” และ  "เรือนโหลงตอยเหลียว”

            เรือนโหลงสองส่อง เป็นเรือนใต้ถุนสูงมีสองหลังคาต่อกัน เหมือนมีบ้านสองหลังอยู่ด้วยกัน เหมาะสำหรับครอบครัวใหญ่ ที่มีทั้งจาน (นอกชาน) ส่องไพ (ห้องครัว) อยู่ภายในตัวบ้าน

          เรือนโหลงตอยเหลียว เป็นเรือนฉบับครอบครัวเล็ก ที่จะปลูกเรือนในลักษณะเป็นเรือนเดี่ยวใต้ถุนสูง

           นอกจากนี้ในยามเช้ามืดใกล้รุ่ง บ้านเมืองปอน ก็มีตลาดเช้าให้คนตื่นแต่เช้าได้สัมผัสกัน โดยจะเป็นตลาดเช้าที่เริ่มเปิดตลาดตั้งแต่ราวๆตี 4 แล้วเริ่มวาย (เลิกขาย)  ราวๆ 6 โมงเช้า   ซึ่งมีพ่อค้าแม่ค้านำของมาขายมากมาย ไม่ว่าจะเป็นขนมพื้นบ้าน น้ำเต้าหู้ อาหารปรุงสำเร็จ พืชผักผลไม้ เนื้อหมู ปลา และอื่นๆอีกมากมาย ที่หาได้ตามท้องทุ่ง ที่ลูกค้าที่มาจับจ่ายส่วนใหญ่จะเป็นคนในหมู่บ้าน และพ่อค้าแม่ค้าจากต่างหมู่บ้าน ที่มาซื้อแล้วนำไปขายต่อยังหมู่บ้านอื่น

          ผู้สนใจสัมผัสวิถีชีวิตไทยใหญ่อันเรียบง่าย  ภายใต้ลมหนาวของเทือกดอย  เชิญแวะได้ ณ บ้านเมืองปอน นะคะ.. มนต์เสน่ห์ แห่งเมืองสามหมอก

      บ้านเรือนทรงไทยใหญ่ ในอำเภอขุนยวม (ภาพประกอบจาก Google)



      http://www.prachatalk.com/board/%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E2%80%9C%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%AD%E0%B8%99%E2%80%9D-%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%A1-%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%AE%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%96%E0%B8%B5%E0%B8%8A%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%8A%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88

      วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

      10 มารยาทในสังคมออนไลน์ที่ควรรู้

       

      ปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมทุกวันนี้อาจดูแหว่งวิ่นไปบ้าง คนออฟฟิศเดียวกัน ยืนอยู่ใกล้ๆ กันอาจไม่ได้คุยกัน พ่อแม่ลูกอยู่บ้านเดียวกันก็อาจไม่ได้คุยกัน ฯลฯ ทั้งหมดเหล่านี้เป็นเพราะส่วนหนึ่งของเวลาที่เรามีถูกย้ายไปทำการอยู่บนสังคมออนไลน์ ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตนั่นเอง

      เมื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นเรื่องใกล้ตัวมากขึ้น วันนี้เราจึงนำมารยาท และสิ่งที่ไม่ควรกระทำบนสังคมออนไลน์มาฝากกัน จะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ

      1.ไม่ควรโพสต์ภาพอาหารยั่วยวนใจบ่อยๆ
      คนเล่นเฟซบุ๊กหลายคนอาจปฏิเสธว่าไม่จริง เราออกจะชอบดูภาพอาหาร ยิ่งหน้าตาชวนกินยิ่งชอบ แถมถ้าบอกร้านมาด้วยจะตามไปชิมเมนูที่โพสต์แน่ๆ แต่ก็อย่าลืมว่าในจำนวนเพื่อนในเฟซบุ๊กนั้นอาจมีคนที่กำลังลดน้ำหนัก เป็นเบาหวาน ความดันสูง โรคหัวใจ หรือถูกสั่งห้ามกินอาหารหน้าตาอร่อยๆ แบบที่คุณกำลังโพสต์ และภาพเหล่านั้นก็จะยิ่งบาดตาบาดใจพวกเขาจนพากันกด Like ให้ภาพของคุณไม่ได้

      2.ไม่ควรกด Like พร่ำเพรื่อ

      เพราะเพื่อนในเฟซบุ๊กมีหลายประเภท ทั้งเพื่อนที่ทำงาน เพื่อนชาวต่างชาติ เพื่อนสมัยเรียนประถม ที่จากกันไปนาน และเพิ่งมีโอกาสได้เจอกันอีกครั้ง หรือเพื่อนห่างๆ ที่แอดไว้ตั้งนานนมแล้วแต่ไม่ได้สานสัมพันธ์ใดๆ กันต่อ ดังนั้น การคลิก Like ไปทั่วกระทั่งในเรื่อง – ภาพของเพื่อนที่เราห่างเหินมานาน ไม่รู้ตื้นลึกหนาบางใดๆ ในชีวิตเขาในตอนนี้ ก็อาจถูกตีความว่าเราเสแสร้ง ไม่จริงใจได้

      3.ไม่โพสต์เรื่องส่วนตัวบนวอลล์คนอื่น

      มีช่องทางอีกมากสำหรับคนสองคนที่ต้องการจะสื่อสารเรื่องส่วนตัวของ กันและกัน ส่งแมสเซจก็ได้ ส่งเมลก็ได้ ส่ง SMS ก็ได้ คุยทาง MSN ก็ได้ แต่ไม่ใช่การมาโพสต์บนหน้าวอลล์ส่วนตัว เพราะเพื่อนๆ ของเจ้าของวอลล์คนนั้นจะร่วมรับรู้รับทราบทั้งหมด ทั้งๆ ที่พวกเขาไม่ควรจะต้องมารู้ด้วยเลย และนั่นอาจไม่ดีต่อตัวคุณในที่สุดที่ดูเป็นคนไม่มีมารยาท

      4.ไม่โพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับเซ็กซ์

      ถ้าไม่นับแก๊งของหนุ่มๆ ในออฟฟิศบางแห่งที่นิยมแชร์ภาพสาวสวยกันแล้ว การที่คนเราจะโพสต์เรื่องราวเกี่ยวกับเซ็กซ์ลงบนสังคมออนไลน์ก็อาจทำให้ เพื่อนๆ คนอื่นของคุณกระอักกระอ่วนใจได้ ยิ่งหากเป็นกิจกรรมทางเพศของตัวคุณเองด้วยแล้วยิ่งไม่เหมาะสมอย่างมาก

      5.ไม่แท็กเรื่อยเปื่อย

      อย่าอัปโหลดทุกภาพที่มีในกล้อง และควรพิจารณาองค์ประกอบในภาพนั้นก่อนว่าดีพอหรือไม่ที่จะโพสต์ออกไป นอกจากนั้น สาวๆ หลายคนอาจเลิกคบกับคุณแน่ๆ ถ้าคุณแท็กภาพที่คุณดูดีสุดๆ แต่เพื่อนสาวที่อยู่ในภาพไม่ได้ดูดีเท่า ดังนั้น หากมีภาพดังกล่าวอยู่ ลองถามตัวเองว่า ถ้าคุณเป็นคนที่กำลังทำหน้าตลกๆ หรือนั่งพุงย้อย คุณจะยังโพสต์ภาพนั้นให้สังคมออนไลน์ร่วมรับรู้หรือไม่

      6.ไม่ใช้เฟซบุ๊กสะกดรอยคนอื่น
      คนบางคนก็ใช้เฟซบุ๊กในการสืบทราบข่าวคราวความเป็นไปของคนอื่่น เช่น อดีตแฟน สาวคนใหม่ของอดีตแฟน คนที่เราแอบชอบ คนที่เราเกลียด คนที่มายุ่งกับแฟนเรา ซึ่งขอบอกว่าการแอบล้วงข้อมูลเหล่านี้เป็นการกระทำที่เสียเวลาและเสีย พลังงานมากทีเดียว

      7.ไม่โพสต์ข้อความกล่าวร้ายคนอื่น

      คนบางคนเลิกคบกันก็เพราะการโพสต์จิกกัดกันนี่เอง และควรจะเลิกคิดใช้เฟซบุ๊กโพสต์ข้อความกล่าวร้ายคนอื่นโดยเด็ดขาด เพราะข้อความที่คุณโพสต์จะเห็นกันได้ทั่วไป และอาจผิดตาม พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐ ซึ่งคู่กรณีอาจฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากคุณได้ด้วย

      8.ไม่ควรโพสต์เรื่องทุกอย่างรอบตัว

      เพราะบางคนโพสต์ทุกเรื่องในชีวิตลงไปบนเฟซบุ๊ก ทั้งร้านอาหาร ครอบครัว เพื่อนฝูง จนเพื่อนๆ ในลิสต์รับทราบความเป็นไปของเธอตลอดเวลา แล้วแบบนี้จะเหลืออะไรไว้ให้คุยกันเมื่อยามพบหน้า ลองหยุดโพสต์ดูบ้างอาจทำให้ชีวิตของคุณน่าค้นหายิ่งขึ้น

      9.ไม่โพสต์ภาพตัวเองถูกทำร้าย

      ใครก็ตามที่กล้าโพสต์รูปตัวเองถูกทำร้ายลงบนโลกออนไลน์ รับรองว่า เป็นเรื่องกระหึ่มแน่นอน หรือแม้จะเป็นภาพอาการบาดเจ็บที่น่าหวาดเสียวก็เช่นเดียวกัน เช่น ภาพนิ้วถูกมีดบาดจะขาดมิขาดแหล่ ฯลฯ เพราะไม่ใช่ทุกคนที่อยากจะเห็นภาพนั้น แม้ว่าเขาเห็นแล้วจะรู้สึกเสียใจ สลดใจไปกับคุณด้วยก็ตาม

      10.ไม่โพสต์นินทาเจ้านายหรือที่ทำงาน
      เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรทำ หากต้องการโพสต์จริงๆ ก็ตั้งกลุ่มลับเฉพาะกันไป อย่าโพสต์ออกมาในที่สาธารณะและเพื่อนๆ ในลิสต์ทุกคนสามารถรับรู้ได้ เพราะมันจะไม่ดีต่อตัวคุณและต่อองค์กรที่ทำงานอยู่ รวมถึงเจ้านายในอนาคตของคุณด้วย เพราะเจ้านายเดี๋ยวนี้ก็เช็กประวัติคนที่จะรับเข้าทำงานจากเฟซบุ๊กกันบ้าง แล้วเช่นกัน
      ทั้งหมดนี้อาจเป็นรูปแบบการใช้งานที่ควรหลีกเลี่ยง หรือเลือกใช้ให้เหมาะสมสำหรับท่านที่ต้องการมีตัวตนอยู่บนสังคมออนไลน์อย่างปลอดภัยนั่นเอง
      ขอบคุณบทความดีๆจาก

      วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

      ประกาศผล GAT/PAT พบเด็กไทยคิดวิเคราะห์ไม่เป็น

      Pic_304337


      สทศ.ประกาศผลสอบ GAT/PAT ครั้งที่ 1/2556 เผยเด็กไทยยังคิดวิเคราะห์ไม่เป็น เตรียมวัดผลภาษาอังกฤษคนไทยรับอาเซียน หรือเพื่อคัดคนเข้าทำงานและเรียนต่อ

      เมื่อวันที่ 7 พ.ย. รศ.ดร.สัมพันธ์ พันธุ์พฤกษ์ ผอ.สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.) แถลงผลการสอบแบบวัดความถนัดทั่วไป หรือ GAT และแบบวัดความถนัดทางวิชาการ/วิชาชีพ หรือ PAT ครั้งที่ 1/2556 ซึ่งสอบวันที่ 6-9 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่า สทศ.ประกาศผลสอบเรียบร้อยแล้วเมื่อวันที่ 7 พ.ย. ตั้งแต่เวลา 02.00 น. การประกาศผลเป็นไปด้วยความเรียบร้อย สำหรับผลการวิเคราะห์คะแนนสอบนั้น พบว่าภาพรวมคะแนน GAT/PAT ปีนี้ไม่แตกต่างจากคะแนนสอบเดือน ธ.ค.ปีีที่ผ่านมา

      โดยปีนี้ GAT คะแนนเต็ม 300 คะแนน เฉลี่ย 114.30 แบ่งเป็น GAT 1 เฉลี่ย 65.23, GAT 2 เฉลี่ย 49.07 PAT 1 ความถนัดทางคณิตศาสตร์ เฉลี่ย 40.61, PAT 2 ความถนัดทางวิทยาศาสตร์ เฉลี่ย 86.20, PAT 3 ความถนัดทางวิศวกรรมศาสตร์ เฉลี่ย 91.11, PAT 4 ความถนัดทางสถาปัตยกรรมศาสตร์ เฉลี่ย 58.07, PAT 5 ความถนัดทางวิชาชีพครู เฉลี่ย 127.31, PAT 6 ความถนัดทางศิลปกรรมศาสตร์ เฉลี่ย 109.88, PAT 7.1 ภาษาฝรั่งเศส เฉลี่ย 84.83, PAT 7.2 เยอรมัน เฉลี่ย 87.52, PAT 7.3 ญี่ปุ่น เฉลี่ย 90.84, PAT 7.4 จีน เฉลี่ย 81.24, PAT 7.5 อาหรับ เฉลี่ย 88.24, PAT 7.6 บาลี เฉลี่ย 97.63 โดยวิชาที่มีคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 3 อันดับแรก คือ PAT5, GAT, PAT6 ตามลำดับ

      รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าวต่อว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อดูช่วงคะแนนสอบของแต่ละวิชา พบว่า ส่วนใหญ่นักเรียนจะได้คะแนนฐานนิยม หรือผู้ที่ได้คะแนนในช่วงนั้นจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในช่วงคะแนน 60.01-90.00 ได้แก่ PAT2, PAT3, PAT 7.1-7.6 ส่วนวิชาที่มีช่วงคะแนนฐานนิยมสูงสุดที่อยู่ในช่วงคะแนน 120.01-150.00 คือ PAT 5 และช่วงคะแนนต่ำสุดที่มีผู้สอบได้จำนวนมากที่สุดคือ GAT 1 คือ ช่วงคะแนนที่ 0.00-30.00 คิดเป็นร้อยละ 31.12 ของผู้เข้าสอบ หรือ 100,512 คน โดยในส่วนของ GAT 1 คือ การคิดวิเคราะห์แก้โจทย์ปัญหา เป็นสิ่งที่สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานพยายามปรับปรุงวิธีการสอน ให้เด็กคิดวิเคราะห์เป็น โดย สทศ.ก็จะส่งข้อมูลดังกล่าวให้ สพฐ. เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงวิธีการสอนต่อไป

      ส่วนผลการวิเคราะห์ คุณภาพข้อสอบนั้น ผอ.สทศ. กล่าวว่า ทั้งค่าความเชื่อมั่น ค่าความยาก และค่าอำนาจจำแนก ของข้อสอบปีนี้ไม่แตกต่างจากปีที่ผ่านมา แต่พบว่า ข้อสอบ PAT 2 วิทยาศาสตร์ มีค่าอำนาจจำแนกค่อนข้างต่ำ ซึ่งตนจะให้ทีมงานวิเคราะห์หาสาเหตุอีกครั้ง ส่วนการสอบครั้งนี้มีนักเรียนทำผิดระเบียบ 9 คน โดยนำโทรศัพท์มือถือเข้าห้องสอบและเกิดเสียงดัง สทศ.จึงไม่ประกาศผลสอบในวิชานั้นๆ ซึ่งน่ายินดีที่การทำผิดระเบียบและการทุจริตการสอบลดลงมาก เพราะ สทศ.เข้มงวดมาก
      "สทศ.กำลังดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับข้อสอบ GAT/PAT ที่ดำเนินการมาทั้งหมด ว่าข้อสอบดังกล่าวสามารถทำนายการเรียนของผู้เรียนในมหาวิทยาลัยได้มากน้อย เพียงใด การวัดผลมีความเหมาะสมหรือไม่ และจะทำให้ผู้เรียนดีขึ้นได้อย่างไร ซึ่งเรื่องนี้ที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทยก็ให้การสนับสนุนการวิจัย นอกจากนี้ สทศ.ยังเตรียมจัดทำการทดสอบภาษาอังกฤษและภาษาไทย สำหรับวัดระดับภาษาอังกฤษของคนไทย เพื่อรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน และประโยชน์ในการนำเข้าไปศึกษาต่อและคัดบุคคลเข้าทำงาน" รศ.ดร.สัมพันธ์ กล่าว

      ทั้งนี้ สทศ.ได้แจ้งว่า สำหรับผู้ที่ประสงค์ขอยื่นคำร้องขอดูกระดาษคำตอบ GAT/PAT สามารถดำเนินการได้ตั้งแต่วันที่ 8-11 พ.ย. 2555 ตั้งแต่เวลา 09.00-16.30 น. โดยยื่นด้วยตัวเอง หรือให้ผู้แทนมายื่นเอกสารพร้อมหลักฐาน ณ ห้องประชุม สทศ. (เลขที่ 128 อาคารพญาไท พลาซ่า ชั้น 35-36 แขวงทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กทม.

      สามารถดาวน์โหลดเอกสารแบบคำร้องจากเว็บไซต์ สทศ. http://www.niets.or.th หรือรับได้ที่ สทศ. ณ จุดรับคำร้อง พร้อมยื่นสำเนาบัตรประชาชนและรับรองสำเนาถูกต้อง และเสียค่าธรรมเนียมวิชาละ 20 บาทต่อคน โดย สทศ.จะให้บริการดูกระดาษคำตอบตามลำดับการยื่นร้องในวันที่ 17-18 พ.ย. 2555.

        ข่าว :ไทยรัฐออนไลน์  7 พฤศจิกายน 2555

      

      ผลปรากฏเช่นนี้ ..ก็ต้องวิเคราะห์กันละ
      • เด็กคิดไม่เป็น
      • หรือผู้ใหญ่คิดไม่เป็น
      คุณภาพของประเทศไทยเชียวนะคะ...




      วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555







      In New Jersey, Sandy destroyed several blocks of Atlantic City's world-famous boardwalk and wrecked several other boardwalks up and down the coast. (Oct. 30)


      คลิป ระทึก เฮอริเคนแซนดี้ถล่มสหรัฐ!!คลิปแรกเป็นเหตุการณ์น้ำท่วมบนถนนสาย 8 ตะวันออกบริเวณสี่แยกตัดกับถนนซีของเมืองแมนฮัตตันตอนใต้ ในนิวยอร์ค หลังถูกเฮอริเคนแซนดี้ถล่ม จากคลิปจะเห็นได้ว่ามีรถมากมายต้องจมน้ำ รวมถึงรถที่คอยให้ความช่วยเหลือด้วย ซึ่งหลังจากนั้นไม่นาน ไฟก็ดับหมดทั้งเมือง

      ส่วนอีกคลิป ครอบครัวหนึ่งที่หลบภัยอยู่ในบ้านก่อนพายุจะมาถ่ายไว้ได้ โดยพวกเขาเฝ้ารอเหตุการณ์ระทึกอยู่ที่หน้าต่าง สักพักพายุก็พัดมาอย่างแรง จนต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บริเวณบ้าน ล้มโค่นลงมาแบบถอนรากถอนโคลนถึง 3 ต้นในพริบตา นอกจากนั้นยังมีไฟปะทุอยู่บนถนนอีกด้วย







      http://www.dailynews...th/world/163957

      วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2555

      e-book ปรีดี ป๋วย กับธรรมศาสตร์และการเมือง


      E-book : ปรีดี ป๋วย กับธรรมศาสตร์และการเมือง
      http://www.openbase.in.th/files/puay017.pdf

      สารบัญ ::: คำนำ โดย ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ | ปรีดี พนมยงค์ กับมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ | ป๋วย อึ๊งภากรณ์ โดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ และ รังสรรค์ ธนะพรพันธุ์ | อาจารย์ป๋วยกับความเงียบในต่างแดน โดย ธงชัย วินิจจะกูล | ลำดับเหตุการณ์ ปรีดี ป๋วย กับธรรมศาสตร์และการเมือง

      "...ประวั
      ติของทั้งสอง คือ ปรีดีและป๋วย เป็นประวัติบุคคลที่สะท้อนถึงประวัติของสังคมไทยได้เป็นระยะเวลากว่า 100 ปี หรือกว่าหนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา กล่าวคือ กำเนิดของปรีดีเมื่อปี พ.ศ.2442 ส่วนกำเนิดของป๋วยนั้นอยู่ถัดมาอีกทศวรรษครึ่ง คือปี พ.ศ.2459 แต่เส้นทางเดินของทั้งสอง เห็นได้ว่าเป็นเส้นทางของ "สามัญชน" ที่ต่อสู้ดิ้นรน หนึ่งนั้นเพื่อชีวิตของตน แต่อีกหนึ่งนั้นก็เพื่อสังคมไทย..." ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์

      (จัดทำโดย หอจดหมายเหตุธรรมศาสตร์)


      ขอบคุณ Textbooks Project (มูลนิธิโครงการตำราฯ)

      วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

      แบกโต๊ะไปเอง เพื่อการศึกษา


      แบกโต๊ะไปเอง เพื่อการศึกษา


      บทความสะท้อนคิด

      โรงเรียนอนุบาลหลายแห่งในมณฑลหูเป่ย ประเทศจีน ประสบปัญหาขาดแคลนชุดโต๊ะเก้าอี้เรียนหนังสือเป็นอย่างมาก  เพื่อไม่ให้ลูกๆ หลาน ๆ ต้องขาดโอกาสทางการศึกษา หลายครอบครัวจึงลงทุนแบกโต๊ะเรียนหนังสือไปโรงเรียนเอง และต้องนำไป-กลับ ทุกวัน เนื่องจากเกรงว่าจะสูญหาย..

      ช่วงเปิดภาคเรียนผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนอนุบาลในเทศบาลตำบลซุ่นชุน เมืองม๋าเฉิง มณฑลหูเป่ย  ประเทศจีน   ต้องเตรียมเตรียมโต๊ะเรียนหนังสือไว้ให้เด็กๆ โดยต้องนำโต๊ะและเก้าอี้ติดตัวไปโรงเรียนด้วยทุกวัน   สาเหตุมาจากทางเทศบาลตำบลแห่งนี้มีนักเรียนมากกว่า 5,000 คน แต่มีชุดโต๊ะเรียนหนังสือเพียง 2,000 ชุด อีกทั้งยังต้องแบ่งให้กับโรงเรียนประถมศึกษาอีกหลายโรงเรียนในเขต จึงทำให้ทางโรงเรียนขาดแคลนโต๊ะ เก้าอี้ อีกกว่า 3,000 ชุด

      *********************************************************************************

      ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.talkystory.com/?p=41998

      หลักธรรมบนคำกลอน


      หลักธรรมบนคำกลอน
      เพื่อให้ง่ายต่อการจดจำหลักธรรมคำสอน
      หัวใจสำคัญของพุทธศาสนา
      คำกลอนปาฏิโมกข์ จึงถูกประพันธ์ขึ้นมา
      เพื่อใช้เป็นสื่อในการบรรยายธรรม ในชื่อว่า..




           "หลักเป็นประธานของพุทธธรรม"
      ไม้สามขา อาศัยกัน ขั้นเอกอุตม์
      คือพระพุทธ พระธรรม แลพระสงฆ์
      ศาสตรา มี สามอัน บั่นบาปลง
      ดั่งประสงค์  คือศีล-สมาธิ ปัญญา

      โจรฉกรรจ์ สามก๊ก ฉกปล้นดะ
      ก๊กโลภะ โทสะ และโมหา
      ป่ารก สามดง หลงหลับตา
      ว่า "เที่ยงแท้" ว่า "สิ้นสุด" ว่า"ไม่มีอะไร"

      เวียนวง สามวน ทนทุเรศ
      วน "กิเลส" " กรรม " " วิบาก "ยากแก้ไข
      ทุกข์ทน ทั้งสามโลก วิโยคใจ
      กามวิสัย รูป-อรูป เฝ้าลูกคลำ

      เขาโคก มีสามเนิน มานะรั้น
      ดีกว่า เลวกว่ากัน เสมอสม่ำ
      ทางห้ามเดิน สองแพร่ง แหล่งระกำ
      หย่อนด้วยกาม ตึงด้วยเกียรติ ไม่เฉียดญา

      ณ ตัวแมลง ห้าตัว ตอมหัวหู
      นิวรณ์ห้า กวนอยู่ ไม่สุขศานต์
      มารน่ากลัว ห้าตน ตามรังควาน
      กิเลสขันธ์ มัจจุสังขาร มารเทวดา

      บ่วงคล้องคน หกบ่วง ห่วงแห่งกาม
      ที่สวยงาม ไพเราะรส จดจ่อหา
      เหตุทั้งปวง หกตำแหน่ง แห่ง หู ตา
      ชิวหานา สาผิวกาย และฝ่ายใจ

      แหล่งอบาย สี่ขุม หลุมนรก
      เดรัจฉาน เปรต-อสูร กายใหญ่
      ที่ต้องคุม สามจุด ยุดให้ได้
      กายวจีใจ ทั้งสามคลอง ต้องสังวร

      ทางแห่ง วิมุตติ มีแปดองค์
      ต้องเดินให้ ถูกตรง ดั่งตรัสสอน
      วัตถุที่ พึงประสงค์ สองขั้นตอน
      ไม่ทุกข์ร้อน ทั้งสองฝ่าย ในสังคม

      สิบหกข้อ รู้ไว้ อย่างเหมาะสม
      ประพฤติไว้ ตลอดไป ไม่ล่มจม
      มีชีวิต รื่นรมย์ สมใจเอย ฯ

      พุทธทาสอินทปัญโญ.

      บันไดไฮกุ เส้นทางสู่สวรรค์


      บันไดไฮกุ เส้นทางสู่สวรรค์ หมู่เกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา

      บันไดไฮกุ เส้นทางสู่สวรรค์

      บันไดไฮกุ เริ่มแรกเป็นบันไดไม้ตอกยึดไว้กับหน้าผาทางตอนใต้ของหุบเขาไฮกุ ติดตั้งในปี ค.ศ. 1942 เป็นการเชื่อมต่อสายอากาศจากด้านหนึ่งของเขาไฮกุไปยังอีกด้านหนึ่ง เพื่อสร้างระบบสื่อสารวิทยุอย่างต่อเนื่อง บันไดไฮกุ รู้จักกันดีในชื่อของ บันไดสู่สวรรค์ ใคร อยากขึ้นไปสัมผัสต้องฟิตร่างกายให้พร้อม เพื่อไต่ขั้นบันไดทั้งหมด 3,922 ขั้น พิชิตยอดสูงสุดที่ 2,800 เมตร ด้วยเส้นทางที่สูงชัน อันตราย บันไดไฮกุ จึงเหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวผู้รักการผจญภัย กายและใจถึงเท่านั้น!
      ไฮกุ บันไดสวรรค์
      บันไดไฮกุ หมู่เกาะฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา
      ใน ปี ค.ศ. 2003 มีการปรับปรุงซ่อมแซม บันไดไฮกุ โดยมีค่าใช้จ่ายประมาณ $875,000 ต่อมาช่วงต้นปี ค.ศ. 2012 บันไดไฮกุ ยังคงเป็นปัญหาเรื่องสิทธิ์ในการใช้ที่ดิน และปัจจุบันยังไม่มีโครงการเปิดให้ประชาชนทั่วไปเข้า
      ข้อมูล : en.wikipedia.org  ภาพ : flickr/markpayton เรียบเรียง : travel.mthai.com

      วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

      วันจันทร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

      วิถีล้านนา วิถีโลก (3)

      วิถีล้านนา..สู่วิถีโลก
      เด็กเชียงใหม่หัวใจรักการอ่าน
      การขับเคลื่อนการอ่านสู่ห้องเรียน เพื่อรองรับการเรียนรู้สู่อาเซียน
      10-11 กันยายน 2554


      จากเพลงล่องแม่ปิง..ที่แสนไพเราะและอ่อนหวานสามารถบูรณาการผ่านการเรียนรู้ทุกกลุ่มสาระด้วยการอ่านและการขับขาน ด้วยเครื่องดนตรีพื้นเมือง พร้อมสื่อสารเป็นคำร้อยภาคภาษาอังกฤษ รูปแบบคาราโอเกะ ด้วยการสอนและการวิจัยในชั้นเรียนของคุณครูโรงเรียนวัดห้วยแก้ว สพป.เชียงใหม่ เขต1

      เตรียมภาษาไทยในอาเซียน

      แผนยุทธศาสตร์ยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาไทย สพป.เชียงใหม่ เขต 1 เตรียมใช้ในอาเซียน


                        
                                 แผนยุทธศาสตร์
      ยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ภาษาไทยและการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน  พ.ศ.๒๕๕๕-๒๕๕๙ 
                        สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงใหม่ เขต ๑

      • ยุทธศาสตร์ยกระดับการเรียนรู้           มุ่งเชิดชูภาษาไทยใฝ่ศึกษา
      • เพื่อส่งเสริมคุณภาพชาวประชา           รู้คุณค่าการอ่านเบิกบานใจ       
      • ให้คนไทยเรียนรู้ได้ตลอดชีวิต             ครูประสิทธิ์ศาสตร์ศิลป์ศิษย์ยุคใหม่
      • เอื้ออำนวยให้ผู้เรียนรู้ด้วยใจ              เสริมนิสัยสร้างศรัทธาพัฒนาตน
      • เร่งคุณภาพบริหารจัดการเด่น             มีจุดเน้นชัดเจนให้เห็นผล
      • พลังส่วนร่วมจากผู้ปกครองและชุมชน    สู่สากลมีมาตรฐานภาคภูมิใจ
      • เป็นคนไทยเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง    สร้างจิตสำนึกอย่างหวั่นเกรงความเหลวไหล
      • จิตใฝ่ดีมีคุณธรรมนำหัวใจ                 น้อมนำให้รู้รักษ์วัฒนธรรม
      • เด็กยุคใหม่คิดทำเป็นแก้ปัญหาได้         รู้คุณค่าประชาธิปไตยอย่างเลิศล้ำ
      • มีความคิดจิตสร้างสรรค์เป็นผู้นำ          มีจริยธรรมสมค่าความเป็นคน
      • สิบจุดเน้นคุณภาพการศึกษา              เพิ่มผลสัมฤทธิ์พัฒนาอย่างเกิดผล
      • เด็กไทยอ่านออกคิดเขียนได้เทียบสากล   ให้อาเซียนยินยลประจักษ์ตา
      • ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียงเป็นนิสัย         ส่งเสริมให้โอกาสการศึกษา
      • เพื่อชีวิตสมบูรณ์ตามปรัชญา              เด็กไทยได้พัฒนาเท่าเทียมกัน
      • แนวปฏิบัติดังกล่าวที่เล่าขาน             ช่วยลูกหลานได้ก้าวหน้าสมดังฝัน
      • มุ่งปฏิบัติตามนโยบายร่วมมือกัน          สานสร้างสรรค์เสริมชาติไทยให้วัฒนา.  


                         
       
      ยุทธศาสตร์ที่ ๑
      แก้ปัญหาให้อ่านออกและเขียนได้  ภาษาไทยเพิ่มระดับสัมฤทธิ์ผล
      เสริมคิดเพิ่มสื่อสารเด็กเยาวชน     สร้างให้คนรักการอ่านอย่างยั่งยืน

      ยุทธศาสตร์ที่ ๒
      คุณภาพของครูยุคใหม่              เสริมแรงได้ด้วยผู้บริหาร 
      ร่วมพลังประสานพัฒนางาน        เพื่อเร่งการอ่านเขียนภาษาไทย

      ยุทธศาสตร์ที่ ๓
      รณรงค์สร้างเครือข่ายมุ่งพัฒนา     แก้ปัญหาส่งเสริมสร้างนิสัย
      ร่วมสร้างสรรค์ทำงานด้วยเต็มใจ   สามัคคีไว้สู่เป้าหมายเด็กไทยเรา

      ยุทธศาสตร์ที่ ๔
      เร่งกำกับติดตามอย่างต่อเนื่อง        โรงเรียนเฟื่องเขตพื้นที่ไม่หนีหาย
      เด็ก เยาวชนเชียงใหม่หญิงและชาย  มีคุณภาพพร้อมก้าวไกลสู่สากล.       
                                 วัชราภรณ์ วัตรสุข และคณะทีมงาน : ร้อยเรียง
      ประกอบแผนยุทธศาสตร์ฯ ของ สพป.ชม.1