การสอนซ่อมเสริม
การสอนซ่อมเสริม คือ
การสอนที่จัดขึ้นเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนช้าให้สามารถเรียนทันเพื่อนอาจจัดการสอนเป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อยๆ
ก็ได้
อาจจัดได้ทั้งในเวลาเรียนและนอกเป็นเวลาเรียน และทั้งในชั้นเรียนและนอกชั้นเรียนนอกจากนี้ยังเป็นการช่วยนักเรียนที่เรียนดีอยู่แล้วให้มีโอกาสได้รับการเสริมความรู้เพิ่มมากขึ้น
ความจำเป็นและสาเหตุที่ต้องมีการสอนซ่อมเสริม
๑.
นักเรียนมีสติปัญญาแตกต่างกัน
๒.
วิธีการเรียนรู้หรือการรับรู้แตกต่างกัน
๓.
สื่อและวิธีการสอนของครูแตกต่างกัน
๔.
แรงจูงใจในการเรียนแตกต่างกัน
ฯลฯ
จุดมุ่งหมายของการสอนซ่อมเสริม
๑.
เพื่อทบทวนความรู้พื้นฐานของนักเรียน
๒.
เพื่อแก้ไขข้อบกพร่องในการเรียนของนักเรียน
๓.
เพื่อให้นักเรียนเรียนได้ทัดเทียมเพื่อน
๔.
เพื่อให้นักเรียนสามารถพัฒนาได้ตามศักยภาพของตนเอง
ฯลฯ
หลักการสอนซ่อมเสริม
๑. สำรวจข้อบกพร่องของนักเรียนเพื่อช่วยเหลือแก้ไขข้อบกพร่อง
๒.จัดบทเรียนหรือสิ่งที่ยังไม่รู้ให้เหมาะสมกับความสามารถความต้องการและความสนใจของนักเรียน
๓.ใช้สื่อการเรียนรู้และเทคนิคการสอนให้เหมาะสมกับความสามารถความสนใจของผู้เรียน
๔. กระตุ้นและให้กำลังใจเพื่อให้ผู้เรียนเกิดความอบอุ่นและเชื่อมั่นในตนเอง โดยยึดหลัก
๔.๑
ให้ความเป็นกันเอง และสร้างบรรยากาศที่ดีในการเรียน
๔.๒ เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติจริง
โดยเริ่มจากง่าย
ไปหายาก
๔.๓ มีการยกย่องชมเชยทั้งจากวาจา พฤติกรรม
และสิ่งของ
ตามความเหมาะสม
๔.๔
ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการประเมินผลงานและผลการเรียนรู้
๕.ให้นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเอง เพื่อให้เกิดความภูมิใจในความสำเร็จและส่งเสริมให้มีความพยายามยิ่งขึ้น
๖.ใช้รูปแบบการสอนที่หลากหลาย และเหมาะสมกับธรรมชาติ วัย และศักยภาพของนักเรียน
๗.ใช้วิธีการพี่สอนน้อง
เด็กเก่งช่วยเด็กอ่อน และคลินิกภาษา ฯลฯโดยมีครูดูแลช่วยเหลืออย่างใกล้ชิด
วิธีการสอนซ่อมเสริม
นักเรียนสอนกันเอง
ในการสอนซ่อมเสริมผู้สอนอาจจะคัดเลือกนักเรียนเก่งให้ช่วยสอนนักเรียนที่ยังไม่บรรลุจุดประสงค์ โดยให้ช่วยสอนตัวต่อตัว
หรือสอนเป็นกลุ่มย่อย
ข้อดีของการที่ให้นักเรียนสอนกันเอง
ก็คือนักเรียนใช้ภาษาแบบเดียวกัน
ดังนั้นการถ่ายทอดความรู้และการใช้ถ้อยคำอธิบายของนักเรียนด้วยกัน ย่อมจะทำให้เข้าใจง่ายกว่าภาษาที่ครูใช้และยังทำให้นักเรียนที่ช่วยสอนมีความเข้าใจในการเรียนมากยิ่งขึ้น
การสอนแบบตัวต่อตัว
การสอนซ่อมเสริมแบบตัวต่อตัวระหว่างครูผู้สอนกับนักเรียนเป็นวิธีที่ดีที่สุด
เพราะผู้สอนสามารถเลือกใช้ถ้อยคำหรือวิธีการได้เหมาะสมกับนักเรียน สามารถชักจูงความสนใจของนักเรียนได้อย่างใกล้ชิด
และสามารถสอนได้ตรงตามที่นักเรียนกำลังมีปัญหา
ผู้สอนนอกจากเป็นครูประจำชั้นหรือประจำวิชาแล้ว อาจเป็นครูคนอื่นก็ได้ เพราะผู้สอนจะได้ให้ความรู้แก่นักเรียนในแนวที่ต่างกัน
การสอนแบบกลุ่มย่อย
เพื่อความสะดวก ควรจัดให้นักเรียนที่มีปัญหาเหมือนๆ
กันอยู่ในกลุ่มเดียวกัน กลุ่มหนึ่งประมาณ ๒ -๓ คน
ผู้สอนอาจใช้วิธีสอนและให้งานสลับหมุนเวียนไปทีละกลุ่ม
เพื่อที่จะให้นักเรียนในกลุ่มได้ช่วยกันแก้ปัญหาความเข้าใจบทเรียนและร่วมมือซึ่งกันและกัน ไม่ให้ใครรู้สึกว่ามีปมด้อยหรือปมเด่น ผู้สอนนอกจากครูที่สอนประจำแล้วอาจจัดครูแทนหรือหมุนเวียนได้
การใช้บทเรียนสำเร็จรูป
ในกรณีที่ผู้สอนพบว่า
นักเรียนมีปัญหาการเรียนในบางเรื่อง ก็อาจใช้แบบเรียนสำเร็จรูปแบบง่ายๆ
ไม่ซับซ้อนเป็นสื่อในการเรียโดยนักเรียนแต่ละคนจะต้องอ่าน ทำแบบฝึกหัด และตรวจคำตอบของตนเองในแบบฝึกหัดสำเร็จรูปนั้น
การให้ทำกิจกรรมเพิ่มเติม
ภายหลังการวินิจฉัยปัญหา ถ้าพบว่านักเรียนมีความเข้าใจแล้ว แต่สมควรได้รับการฝึกทักษะเพิ่มขึ้นอีก ผู้สอนอาจใช้วิธีการมอบหมายงานให้ทำ เช่น
ทำแบบฝึกหัดเพิ่มเติม โดยจะทำที่โรงเรียนหรือที่บ้านตามความเหมาะสม
สมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง
ลักษณะของสมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเองคล้ายแบบเรียนสำเร็จรูป เพราะเริ่มต้นด้วยการให้บทเรียน
แล้วให้แบบฝึกหัดต่อ จากนั้นจึงเฉลยคำตอบ
ลักษณะที่แตกต่างกันก็คือสมุดแบบฝึกหัดมากกว่าแบบเรียนสำเร็จรูป เพราะมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ผู้เรียนได้ทำแบบฝึกหัดเป็นการฝึกฝนทักษะให้มากยิ่งขึ้น
การเขียนคำถามเอง
โดยการมอบหมายให้นักเรียนอ่านบทเรียน
แล้วเขียนคำถามจากบทเรียนนั้นลงบัตรคำ บัตรคำถาม จำนวนคำถาม แล้วแต่กำหนด ต่อจากนั้นจึงเขียนคำตอบลงบนอีกด้านหนึ่ง เมื่อเขียนเสร็จแล้วนักเรียนจับคู่เพื่อฝึกโดยการถามตอบ เริ่มด้วยคำถามของตนเองเสียก่อน ต่อจากนั้นจึงถาม-ตอบโดยใช้คำถามของเพื่อน
ขั้นตอนการสอนซ่อมเสริม
๑.
การวินิจฉัยข้อบกพร่องของนักเรียน วิธีการที่ครูจะทราบว่า เด็กคนไหน
ได้รับการสอนซ่อมเสริมนั้น ทำได้ ๒ วิธี คือ
๑.๑
การวินิจฉัยอย่างเป็นแบบแผน หรือเป็นทางการ เป็นการวินิจฉัยโดยการใช้แบบทดสอบมาตรฐาน
เพื่อทดสอบทักษะแต่ละด้าน
แบบทดสอบมาตรฐานกลุ่มทักษะ (ภาษาไทย) มีที่สำนักงานทดสอบทางการศึกษา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร
และกรมวิชาการกระทรวงศึกษาธิการ ส่วนแบบทดสอบเชาวน์ปัญญามีที่ศูนย์
โรงเรียนใดที่สนใจที่จะนำมาทดสอบนักเรียนก็ติดต่อไปยังสถานที่ดังกล่าวได้
๑.๒
การวินิจฉัยอย่างไม่เป็นแบบแผนหรือไม่เป็นทางการ เป็นวิธีธรรมชาติและเป็นเทคนิคเบื้องต้น
โดยการสังเกตพฤติกรรมในห้องเรียนและนอกห้องเรียน
สังเกตการอ่าน การเขียน และตรวจแบบฝึกหัด
สัมภาษณ์นักเรียนโดยอ้อม
สัมภาษณ์เพื่อน ๆ และครูที่เคยสอนตลอดจนผู้ปกครองศึกษาทะเบียนประวัติและบันทึกอื่นๆ
เกี่ยวกับตัวเด็ก เช่น ระเบียนสะสม เป็นต้น
๒.
จัดทำบันทึกประวัติการเรียนของนักเรียนเป็นรายบุคคล
๓.
แบ่งผู้เรียนเป็นกลุ่ม ในกรณีที่มีนักเรียนหลายคนที่จะต้องสอนซ่อมเสริม
ให้รวบรวมนักเรียนที่จะต้องเรียนซ่อมเสริม แล้วแบ่งออกเป็นกลุ่มตามรายวิชา
และตามปัญหาของผู้เรียน
ถ้าสามารถจัดครูสอนได้ทั่วถึงควรจัดกลุ่มย่อยที่สุด
ให้นักเรียนที่มีข้อบกพร่องเหมือนกันอยู่กลุ่มเดียวกัน
๔.การวางแผนการสอนซ่อมเสริม เมื่อวินิจฉัยผู้เรียนตลอดจนแบ่งกลุ่มผู้เรียนเรียบร้อยแล้ว
ผู้สอนควรตั้งคำถามกับตนเองเสมอว่าจะสอนอย่างไร กับใครโดยวิธีการอย่างไร จะใช้สื่ออะไรช่วยสอน จะสอนเวลาใด
และรู้ได้อย่างไรว่าสอนแล้วได้ผล
นั่นหมายถึงครูจะต้องจัดทำโครงการสอนซ่อมเสริม
และเตรียมการสอนซ่อมเสริมก่อนที่จะลงมือสอน
๕. ดำเนินการสอนซ่อมเสริมตามที่ได้เตรียมการสอน
หรือการวางแผนการสอนเอาไว้ โดยมีแนวในการจัดสอนซ่อมเสริม ดังนี้
๕.๑
ช่วงเวลาในการจัดสอนซ่อมเสริม ควรทำเป็น
๓ ระยะ คือ
๑)
ภายหลังการประเมินผลก่อนเรียน
๒) ภายหลังการประเมินผลระหว่างเรียน
๓) ภายหลังตัดสินผลการประเมิน
๕.๒ วิธีสอนซ่อมเสริม มีให้เลือกหลายวิธีตามความเหมาะสมกับเด็ก ได้แก่
๑)
การให้นักเรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน หรือสอนกันเอง โดย
การจัดนักเรียนเรียนเป็นกลุ่มย่อยๆ กลุ่มละ ๒
- ๓ เพื่อ
ช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่องที่มีลักษณะเหมือนกัน วิธีนี้เรียกว่า
เพื่อนช่วยเพื่อนหรือพี่สอนน้อง
๒)
การสอนแบบตัวต่อตัว
หรือเรียนกับครูผู้สอนประจำกลุ่มหรือ
รายบุคคล
๓)
การสอนโดยใช้แบบเรียนหรือตำราอื่น
ที่มีความยากง่ายในระดับ
เดียวกัน
นักเรียนอาจจะเรียนเล่มใดเล่มหนึ่งไม่เข้าใจ แต่เมื่ออ่าน
เล่มใหม่อาจเข้าใจกว่า
๔)
การใช้บทเรียนสำเร็จรูป
สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องเกี่ยวกับ
ความคิดรวบยอดและหลักการที่สำคัญ
๕)
การใช้สื่อประกอบอื่น ๆ เช่น เทปโทรทัศน์ ภาพยนตร์
เป็นการ
เพิ่มหลังจากที่วินิจฉัยแล้ว
พบว่านักเรียนควรได้รับการฝึกทักษะ
เพิ่มขึ้นก็ใช้กิจกรรมฝึกทักษะเพิ่มเติม
๕.๓
การติดตามและประเมินผลการจัดสอนซ่อมเสริม
การติดตามและประเมินผลการจัดสอนซ่อมเสริมเป็นเรื่องที่จะต้องดำเนินการ เพื่อที่จะได้ทราบว่าการจัดสอนซ่อมเสริมที่ดำเนินการนั้นได้เป็นผลที่น่าพอใจเพียงใด
และมีส่วนใดบ้างที่จะต้องสอนซ่อมเสริมใหม่
วิธีการติดตามผลมีดังนี้
๑)
วัดความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนในด้านที่เด็กมีความ
บกพร่อง
โดยมีการวัดผลอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะๆ
๒)
ตรวจสอบความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียนในวิชาอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้อง
๓)
สังเกตความสนใจในการเรียน การเข้าร่วมกิจกรรมในกลุ่มและ
สังเกตพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปว่า
เป็นไปตามที่ต้องการหรือไม่
เพียงใด
๔)
ใช้วิธีสัมภาษณ์หรือใช้แบบสอบถาม
เพื่อประเมินค่าว่ากิจกรรม
ที่ใช้น่าสนใจเพียงใด
และได้ผลอย่างไร
๕)
บันทึกผลการสอนซ่อมเสริมเป็นหลักฐาน เพื่อสะดวกต่อการ
ตรวจสอบ