Love to Read

LOVE TO READ อ่านมากรู้มาก อ่านน้อยรู้น้อย ไม่อ่านไม่รู้



วันอาทิตย์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2560

การเลือกใช้สื่อซ่อมเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย




การเลือกใช้สื่อซ่อมเสริมทักษะการอ่านและเขียนภาษาไทย
           ครูผู้สอนควรพิจารณาและเลือกใช้สื่อซ่อมเสริมทักษะการอ่านการเขียนตามข้อเสนอแนะดังนี้

          ก่อนสอน/จัดกิจกรรม
               ครูผู้สอนต้องทราบสาเหตุที่แท้จริงของความบกพร่องต่างๆที่เกิดกับผู้เรียน ที่จะทำการสอนซ่อมเสริม ซึ่งอาจวินิจฉัยได้จากการสังเกต สัมภาษณ์  สอบถามจากตัวนักเรียนเอง    ครู    ผู้ปกครอง   ครูที่เคยสอนมาก่อน  หรือจากเพื่อนนักเรียนด้วยกัน   หรือจากการตรวจสอบผลงานและจากการทดสอบต่าง ๆ เช่น การทดสอบด้วยข้อสอบวินิจฉัย เป็นต้น จะทำให้ครูผู้สอนทราบสาเหตุของปัญหาและแก้ไขได้ตรงจุด เช่น

ความบกพร่องด้านการอ่าน
. จำตัวอักษรไม่ได้  ทำให้อ่านไม่ได้หรือจำตัวอักษรได้บ้างแต่อ่านเป็นคำไม่ได้
. อ่านช้า มีความยากลำบากในการอ่าน เช่น อ่านคำต่อคำ จะต้องสะกดคำ
     จึงจะอ่านได้
. อ่านผิด เช่น อ่านคำผิด อ่านผิดประโยคหรือผิดตำแหน่ง
. อ่านข้ามคำ อ่านเพิ่มคำ หรือลดพยัญชนะในคำ  อ่านฉีกคำ
. อ่านคำโดยสลับตัวอักษร หรือสลับคำกัน
. อ่านเดาจากตัวอักษรบางตัวที่มีอยู่ในคำ
. อ่านเว้นวรรคไม่ถูกต้อง
          . ตอบคำถามจากเรื่องที่อ่านไม่ได้
          . เล่าเรื่องที่อ่านตามลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
          ๑๐. บอกใจความสำคัญของเรื่องไม่ได้

          ความบกพร่องด้านการเขียน
. เขียนไม่เป็นตัวอักษร เขียนอ่านไม่ออก เขียนวนไปมา เขียนหนังสือ
    ตัวโต
. เขียนไม่ตรงบรรทัด  เขียนเกินบรรทัด  เขียนไม่เต็มบรรทัด
. เขียนตัวอักษรไม่เท่ากัน
. เขียนตัวอักษรหัวกลับหรือกลับด้าน
. เขียนตัวอักษรติดกัน  ไม่เว้นช่องไฟ
. เขียนผิด   เขียนลบบ่อย   เขียนทับคำเดิมหลายครั้ง
. เขียนตัวอักษรหรือวรรณยุกต์ตกหล่น  ไม่ตรงตำแหน่ง
. เขียนอักษรในคำสลับที่กัน
. เขียนประโยคง่าย ๆ ไม่ได้
๑๐. เขียนตามที่กำหนดไม่ได้
๑๑. เขียนเรียงลำดับเหตุการณ์ไม่ได้
๑๒. เขียนบรรยายภาพ เล่าเรื่องแสดงความรู้สึกนึกคิดและจินตนาการ
      ไม่ได้
  

เมื่อได้สาเหตุแล้วจึงลงมือเลือกกิจกรรมที่เห็นว่าเหมาะสมให้นักเรียนฝึก อาจฝึกเป็นรายบุคคล  เป็นกลุ่ม  บางกิจกรรมครูผู้สอนอาจให้นักเรียนฝึกฝนช่วยเหลือกัน  นอกจากนั้นก่อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ควรบอกให้นักเรียนรู้ตัวก่อนว่าเมื่อเรียนหรือฝึกแล้วจะได้อะไรบ้าง  ให้รู้จุดประสงค์การเรียนไว้ล่วงหน้า  เพื่อนักเรียนจะสามารถประเมินตนเองได้  บางกิจกรรมอาจมีการทดสอบก่อนการจัดกิจกรรม เพื่อดูพื้นฐานหรือจุดเริ่มต้นของนักเรียนก็จะทำให้ได้ข้อมูลในการปรับปรุงการฝึกฝนได้เหมาะสมยิ่งขึ้น

ระหว่างสอน/จัดกิจกรรม  

. ควรให้นักเรียนเรียนรู้ด้วยการฝึกปฏิบัติและคิดค้นหาคำตอบด้วยตนเอง  ครูเป็นผู้คอยกระตุ้นให้คิดและชี้แนะวิธีปฏิบัติให้เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียนแต่ละคนเท่านั้น  เพราะการใช้แบบฝึกที่นักเรียนค้นหาคำตอบได้ด้วยตนเองเป็นวิธีการเรียนรู้ที่สอดคล้องตามกำหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ  ผู้เรียนได้เรียนเต็มตามศักยภาพและความสามารถของตนเอง

. ครูผู้สอนควรให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการเรียนซ่อมเสริม  โดยไม่รู้สึกว่าเกิดปมด้อย  ควรมีการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อทราบความก้าวหน้าของนักเรียนเป็นรายบุคคล  ควรบันทึกผลการทดสอบไว้ในสมุดบันทึกการสอนซ่อมเสริม  แสดงความก้าวหน้าทางการเรียนและข้อที่ควรปรับปรุงแก้ไขอย่างละเอียด
. ครูผู้สอนควรนำหลักจิตวิทยาการเรียนรู้มาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับนักเรียน  เช่น  การเสริมแรง ให้กำลังใจ  ชมเชย  กระตุ้นยั่วยุ  ชี้แนะให้นักเรียนเกิดความรู้สึกประสบความสำเร็จมากกว่าความล้มเหลว   พร้อมทั้งระลึกเสมอว่านักเรียนต้องการความช่วยเหลือดูแลอย่างใกล้ชิด      นักเรียนบางคนควรแทรกทักษะพื้นฐานที่จะนำไปสู่การเรียนรู้ เช่น การเล่มเกม  ให้อวัยวะเคลื่อนไหว  การฝึกกวาดสายตา  เช่น ฝึกสมาธิก่อนอ่านหนังสือ เป็นต้น 

หลังสอน/จัดกิจกรรม


                   ควรให้นักเรียนทราบความก้าวหน้าของตนเองว่าเป็นไปตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่ โดยไม่นำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น   บันทึกผลการเรียนการสอนซ่อมเสริมเพื่อประโยชน์ในการปรับปรุงพัฒนาต่อไป  และควรรายงานให้ผู้เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ปกครองและผู้บริหารสถานศึกษาทราบ  เพื่อการร่วมมือกันแก้ไขต่อไป