Love to Read

LOVE TO READ อ่านมากรู้มาก อ่านน้อยรู้น้อย ไม่อ่านไม่รู้



วันเสาร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2557

เสวนาการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551



เสวนาการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน

 นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วย ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.ภาวิช ทองโรจน์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมประชุมเสวนาการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2557 ที่ห้องราชาบอลรูม โดยมีคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน อนุกรรมการในคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานด้านมาตรฐานการศึกษาและหลักสูตร คณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์/วิทยาศาสตร์/สังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์  ผู้บริหาร ศธ. รวมทั้งผู้บริหารจากหลายหน่วยงาน อาทิ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน)  สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) นายกสมาคมครู หน่วยงานการศึกษาสังกัดต่างๆ ที่ใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา ศึกษานิเทศก์ ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และนักวิชาการ เข้าร่วมกว่า 200 คน

รมว.ศธ. กล่าวเปิดการเสวนาในครั้งนี้ว่า การระดมความคิดเห็นครั้งนี้ เพื่อร่วมแสดงความคิดเห็น แลกเปลี่ยน นำไปสู่การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องเมื่อได้ข้อสรุปชัดเจนก็จะส่งต่อไปยังคณะและองค์กรผู้รับผิดชอบนำหลักสูตรไปสู่ขั้นตอนการปฏิบัติต่อไป



ดังนั้นเพื่อให้ได้ข้อยุติของการปฏิรูปหลักสูตรและสามารถนำไปใช้ได้จริง
จำเป็นต้องดำเนินการใน 
ส่วน คือ
  • รับฟังความคิดเห็นอย่างเต็มที่ของผู้เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ผลิต คือคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ไปจนถึงผู้ที่จะนำไปใช้ในระดับสถานศึกษา
  • ส่งต่อเรื่องนี้จากคณะกรรมการหลักสูตรฯ ไปยังสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) จากนั้นเสนอให้ รมว.ศธ. ลงนามประกาศใช้ต่อไป ซึ่งต้องการดำเนินโดยเร็วที่สุด โดยผ่านกระบวนการรับฟังอย่างดีและมีประสิทธิผล คือ ใช้แล้วเกิดผลดีจริงๆ และสอดคล้องกับการเรียนการสอนในวิชาต่างๆ เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และภาษาไทย ที่จะต้องมีการปรับปรุงการเรียนการสอนคู่ขนานไปกับหลักสูตร เพื่อไม่ให้เกิดความลักลั่นและให้การดำเนินการทั้งหมดได้ผลดี มีประสิทธิผล และสามารถดำเนินการไปพร้อมกันได้


ในส่วนของสาระสำคัญของหลักสูตรใหม่ 

ก็คือ การปรับหลักสูตรให้สอดรับกับคุณลักษณะพึงประสงค์ของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 ส่งเสริมทักษะการเรียนรู้ ทักษะการทำงาน ทักษะทางอาชีพ และการเรียนรู้ใหม่ๆ ในโลกที่มีข้อมูลข่าวสารมากมายอย่างไม่จำกัด ที่สามารถเผยแพร่หรือเข้าถึงได้อย่างรวดเร็ว เพื่อต้องการให้ผู้เรียนมีความสามารถในการเรียนรู้และมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์มากกว่าการท่องจำเนื้อหาสาระ โดยจะต้องปรับการเรียนการสอน เช่น ภาษาต่างประเทศ จะเน้นการเรียนเพื่อการสื่อสาร เรียนจากการใช้จริง รวมทั้งต้องปรับระบบการทดสอบวัดผลด้วย

นอกจากนี้ จำนวนชั่วโมงเรียนคาดว่าจะน้อยลง แต่จะจัดการเรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย เน้นทักษะการเรียนรู้ โครงงาน การแก้ปัญหา ซึ่งเรื่องของเวลาการเรียนจะต้องพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติม โดยเฉพาะคำพูดที่ว่า “ใช้เวลาเรียนมาก ได้ความรู้น้อย” เพราะในประเทศที่มีการแข่งขันด้านการศึกษาสูงๆ จำนวนเวลาเรียนจะรวมทั้งในโรงเรียนและที่บ้าน คือ เวลาทำการบ้าน เวลาเตรียมตัว บางประเทศใช้เวลาเรียนมากจึงสำเร็จ แต่บางประเทศสำเร็จทั้งๆ ที่ใช้เวลาน้อยกว่า และบางประเทศเรียนไม่มากแต่ใช้เวลาที่เหลือในการทำกิจกรรมในโรงเรียน เป็นต้น





ความเห็นหลากหลาย
ต่อ
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551

นางสาววีณา อัครธรรม ที่ปรึกษา สพฐ.ด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ กล่าวว่า พบข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุงหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2551 ดังนี้
  • หลักสูตรไม่เอื้ออำนวยต่อการเรียนรู้หลายด้าน  เช่น โครงสร้างเวลาเรียนชั้น ป.1-3 ไม่เอื้อต่อการพัฒนาการอ่าน การเขียน ควรจัดแบบบูรณาการ โดยเฉพาะกลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เวลาเรียนยังไม่สอดคล้องกับจำนวนตัวชี้วัด และขอบข่ายแต่ละชั้นปีของสมรรถนะ คุณลักษณะ และทักษะ/กระบวนการไม่ชัดเจน
  • สถานศึกษาให้ความสำคัญกับรายวิชาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาวิชาการ มากกว่าทักษะชีวิตและการไปสู่อาชีพ โดยจัดการเรียนการสอนเน้นเนื้อหาสาระมากกว่าทักษะกระบวนการ ยึดหนังสือเรียน หน่วยการเรียนรู้/แผนการสอนของเอกชน จัดติววิชาการในเวลาของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน และเน้นการประเมินเพื่อการตัดสิน
  • การดำเนินการของ สพฐ. ได้แก่ เน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน จัดแผนการเรียนรู้คละชั้นสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก จัดหน่วยการเรียนรู้บูรณาการ แผนการจัดการเรียนรู้ 200 วัน รวมทั้งวิเคราะห์ตัวชี้วัดเพื่อใช้สนับสนุนการเรียนรู้ และจัดทำแนวทางพัฒนาและวัดผลคุณลักษณะอันพึงประสงค์


นายวรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง ผู้วิจัย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) นำเสนอผลการวิจัย เรื่องการปรับหลักสูตรแกนกลาง ตามแนวทางการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21

แนวคิดสำหรับหลักสูตรในศตวรรษที่ 21 ได้แก่ 1) หลักสูตรกระชับ เน้นความสำคัญของแนวคิดหลัก คำถามสำคัญ กระบวนการ และวิธีการเรียนรู้ในสาขาวิชา โดยยึดนักเรียนเป็นศูนย์กลาง 2) หลักสูตรช่างคิด เน้นการพัฒนาทักษะการคิดขั้นสูงควบคู่กับการเรียนรู้เนื้อหา ผสมผสานเนื้อหากับกระบวนการเรียนรู้ภายใต้สถานการณ์จริง และการตั้งคำถาม “อย่างไร” และ “ทำไม”  และ 3) หลักสูตรเชิงบูรณาการ เปิดโอกาสให้มีการจัดการเรียนการสอนข้ามสาขาวิชาผ่านโครงงาน ปัญหา หรือชุดประสบการณ์ และจัดคาบเรียนแบบหลอมรวม
โดยมีข้อเสนอแนะเพื่อการปรับปรุง ดังนี้
  • หลักการ เน้นการพัฒนากระบวนการเรียนรู้หรือคุณลักษณะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ ทำงาน และการดำรงชีวิต รวมทั้งจัดแบ่งสมรรถนะผู้เรียนอย่างเป็นระบบและครอบคลุมทักษะอื่นๆ อย่างรอบด้าน และสอดแทรกสมรรถนะเข้าไปในหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง
  • สาระการเรียนรู้ ได้แก่ จัดการเรียนรู้โดยอิงกลุ่มสาระวิชา อิงการจัดการเรียนรู้เชิงบูรณาการ และจัดกลุ่มการเรียนรู้ให้เหลือเพียง กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มภาษาและการสื่อสาร (รวมภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ) คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาและมนุษยศาสตร์ เพื่อให้สถานศึกษามีอิสระในการจัดการเรียนรู้ ออกแบบสื่อการเรียนรู้และนำ ICT มาใช้สนับสนุนการเรียนการสอนแบบใหม่
  • มาตรฐานการเรียนรู้ ได้แก่ ผสมผสานทักษะการสื่อสาร การแก้ไขปัญหา และความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้กับสถานการณ์จริง เน้นแนวคิดหลักของกลุ่มสาระวิชา เช่น กระบวนการแก้ไขปัญหาและใช้เหตุผลทางคณิตศาสตร์ การหาความจริงด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ฯ เป็นต้น
  • เวลาเรียน ต้องปรับเวลาเรียนขั้นต่ำทั้งหมดให้น้อยลงตามแนวคิด “สอนน้อยลง เรียนรู้มากขึ้น” การกำหนดจำนวนเวลาเรียนแต่ละกลุ่มสาระไม่ควรเป็นแบบตายตัว เพื่อให้สถานศึกษามีอิสระในการจัดการเรียนรู้ และออกแบบการเรียนรู้เชิงบูรณาการได้มากขึ้น
  • การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ ได้แก่ ประเมินจากความสามารถในการประยุกต์ใช้ความรู้ สนับสนุนการประเมินผลงานระดับสถานศึกษา และประเมินความเข้าใจและประยุกต์ใช้ความรู้ในระดับชาติ ปรับตัวชี้วัดจากทุกชั้นปีเป็นระดับช่วงชั้น ระดับ ปรับตัวชี้วัดให้อิงทักษะหรือผลลัพธ์ในการเรียนรู้ที่สะท้อนพัฒนาการในแต่ละระดับอย่างชัดเจน และจัดทำชุดตัวชี้วัดที่หลากหลายสำหรับโรงเรียนที่ไม่สามารถออกแบบตัวชี้วัดด้วยตนเอง




ข้อเสนอและประเด็นความคิดเห็นบางส่วนจากการเสวนา
ผศ.ดร.อรรณพ จีนะวัฒน์ ประธานกรรมการประจำสาขาวิชาศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กล่าวว่า หลักสูตรใหม่ควรมีความยืดหยุ่น เน้นเนื้อหาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเน้นพัฒนาผู้เรียนที่สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ แทนการเป็นผู้บริโภคเพียงอย่างเดียว ยกระดับจิตใจผู้เรียนให้สามารถอยู่รอดในโลกยุคใหม่ ผลิตครูที่มีความรู้ความสามารถในการสอน STAM และพัฒนาให้รู้เท่าทันเทคโนโลยี โดยเน้นการเรียนรู้จากContent ในเทคโนโลยีเพื่อให้เกิดการเรียนแบบ Brain-based Learning มากขึ้น
ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ผู้อำนวยการโรงเรียนสัตยาไส จังหวัดชัยนาท กล่าวว่า หลักสูตรควรเน้นการเตรียมความพร้อมแก่เด็ก เพื่อให้รู้เท่าทันความเปลี่ยนแปลงของสภาวการณ์ของโลก เช่น การขาดแคลนอาหาร น้ำและน้ำมัน ปัญหาอาชญากรรม คุณธรรมจริยธรรมเสื่อม จะเสริมด้วยวิชาการด้านใดเพื่อให้สามารถอยู่รอดได้ในอนาคต โดยอาจจะใช้จุดเด่นของประเทศ ที่ประเทศอื่นๆ ไม่มี เช่น ธรรมะ การรู้จักตนเอง รู้ที่มา/จุดมุ่งหมายของการใช้ชีวิต คุณธรรมจริยธรรม เป็นต้น

นายชัยอนันต์ แก่นดี ผู้อำนวยการโรงเรียนทวีธาภิเศก กรุงเทพฯ กล่าว่าเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตร โดยขอให้มีกระบวนการเรียนการสอนและเครื่องมือในการวัดและประเมินผลที่เป็นรูปธรรมชัดเจน

นายก่อศักดิ์ ศรีน้อย ผู้อำนวยการโรงเรียนหาดใหญ่วิทยาลัย จังหวัดสงขลา กล่าวว่า ขอให้สะท้อนข้อมูลเชิงประจักษ์เกี่ยวกับการใช้หลักสูตรฯ พ.ศ.2551 ต่อครู เพื่อสื่อสารและทำความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรในระดับสถานศึกษา ห้องเรียน ครูและนักเรียน โดยจะต้องจัดอบรมและให้ความรู้แก่ครูและศึกษานิเทศก์เกี่ยวกับหลักสูตรใหม่ก่อนนำไปใช้เป็นเวลา ปี รวมทั้งเพิ่มตัวชี้วัดเรื่องวัฒนธรรมท้องถิ่นลงไปในหลักสูตรด้วย

นางสาวสุภาวดี วงษ์สกุล ผู้อำนวยการโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต จังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า เห็นด้วยกับการปรับหลักสูตร แต่ขอให้นำหลักสูตรลงไปถึงครูและห้องเรียนจริงๆ ในส่วนของการพัฒนาครูในระบบให้เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่สำหรับครูใหม่ที่ศึกษาอยู่ในระดับมหาวิทยาลัย ควรผลิตด้วยหลักคิดและเนื้อหาหลักสูตรใหม่ รวมทั้งขอให้ผลิตนักวัดและประเมินผลเพิ่มเติมในส่วนที่ขาดแคลนด้วย

นางสาววิมลรัตน์ ศรีสุข ครูโรงเรียนกำแพงเพชรวิทยาคม จังหวัดกำแพงเพชร กล่าวแสดงความห่วงใยเกี่ยวกับการนำผลการประเมินระดับนานาชาติ PISA มาใช้เป็นแนวทางหลักในการปรับปรุงหลักสูตร ทำให้เนื้อหาภูมิปัญญาไทยและความภาคภูมิใจในความเป็นไทยขาดหายไป ส่งผลให้การกำหนดผลเรียนรู้เรื่องของงานบ้าน งานผ้า งานคหกรรม สมุนไพร ฯลฯ ขาดหายไปด้วย

รมว.ศธ.กล่าวเพิ่มเติมถึงขั้นตอนที่จะต้องให้ความสำคัญคือ การนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติในระดับโรงเรียน ซึ่งจะต้องยกเป็นอีกประเด็นหนึ่ง เพื่อหารือกับผู้จัดทำหลักสูตร ผู้ใช้หลักสูตร หรือผู้มีประสบการณ์ ในการคิดกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่โรงเรียนได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการดำเนินการในส่วนอื่นๆ ต่อไปด้วย เช่น การวัดและประเมินผล การออกแบบสื่อการเรียนการสอน โดยได้มอบให้ สพฐ.รวบรวมประเด็นที่จะเป็นกรอบการระดมความเห็นในครั้งต่อไป เพื่อให้การเสวนาเจาะลึกในรายละเอียดและเป็นไปในทิศทางเดียวกัน.



นวรัตน์ รามสูต

บัลลังก์ โรหิตเสถียร
สรุป/รายงาน
24/3/2557

จากเว็บไซต์ ข่าวสำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ
http://www.moe.go.th/websm/2014/mar/069.html

วันอังคารที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2557

แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่สูงและชายแดนของกระทรวงศึกษาธิการ ปี 2557



การประชุมเสวนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่สูง ที่เชียงราย
 อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย - 
         นายจาตุรนต์ ฉายแสง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเสวนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่สูงและชายแดน ประจำปีงบประมาณ 2558-2561    โดยมี ดร.กิตติ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการ  ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน   พลเอกวิชิต ศาทรานนท์ ประธานคณะอนุกรรมการบูรณาการเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ศธ.    ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) เชียงราย เขต 1-3    ผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) เขต 36 ผู้อำนวยการโรงเรียน ครู และนักเรียน เข้าร่วมกว่า 100 คน   เมื่อวันที่ 13 มีนาคม 2557 ที่ห้องประชุมโรงแรมดอยหมอกดอกไม้รีสอร์ท    พร้อมทั้งมีการถ่ายทอดสดผ่านทางสถานีโทรทัศน์โมเดิร์นไนน์ ทีวี  ตั้งแต่เวลา 10.05-11.00 น.

        ดร.กมล รอดคล้าย รองเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวรายงานถึงวัตถุประสงค์ของการจัดประชุมเสวนาในครั้งนี้ว่า เพื่อรับฟังความเห็น มุมมอง ข้อเสนอแนะ ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพัฒนาการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่สูงและชายแดน เพื่อนำไปสู่การปรับปรุงแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาการจัดการศึกษาในเขตพื้นที่สูงและชายแดน ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2558-2561 ซึ่งหวังว่าผลการประชุมเสวนาในครั้งนี้ จะก่อให้เกิดแผนยุทธศาสตร์และข้อมูลสารสนเทศที่เป็นปัจจุบัน ทันสมัย ถูกต้องตามข้อเท็จจริง และสามารถนำไปใช้พัฒนาการจัดการศึกษาโรงเรียนในเขตพื้นที่สูงและชายแดน ตลอดจนช่วยให้การดำเนินงานในส่วนที่เกี่ยวข้องมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อคุณภาพและมาตรฐานการจัดการศึกษาต่อไป

รมว.ศธ. กล่าวว่า ศธ.มีนโยบายที่ชัดเจนที่จะเร่งพัฒนาคุณภาพการศึกษาและกระจายโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพ ให้เป็นนโยบายในภาพรวม  และจากการรายงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) หลายเรื่อง เช่น เด็กตกหล่น เด็กออกกลางคัน ซึ่งมีจำนวนมากนั้น ประเทศไทยต้องให้ความสนใจและความสำคัญกับสัญญาอนุสัญญาระหว่างประเทศ ปฏิญญาจอมเทียนในเรื่องการศึกษาเพื่อทุกคน (Education for All) ซึ่งเป็นเรื่องในภาพรวมด้วย



ในส่วนของการศึกษาในพื้นที่สูง ชายขอบ และชายแดน จะมีเรื่องที่มีลักษณะเฉพาะจำนวนมาก ตามสภาพของภูมิประเทศ ความลำบาก ทุรกันดาร ความขาดแคลนในทุกๆ ด้าน และที่สำคัญคือ ความมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ซึ่งพบว่าเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมนี้ยังเป็นเอกลักษณ์ที่หลากหลาย อยู่ร่วมกันของคนหลากหลายวัฒนธรรมก็มี อยู่ร่วมกันจำนวนมากของผู้ที่มีวัฒนธรรมและภาษาร่วมกันก็มี ฉะนั้นในลักษณะพิเศษอย่างนี้ จะดูแลผู้ที่อยู่ในพื้นที่ลักษณะนี้ให้มีโอกาสทางการศึกษาอย่างมีคุณภาพและเท่าเทียมกันได้อย่างไร ส่งเสริมให้มีการพัฒนาอย่างสอดคล้องกับศักยภาพได้อย่างไร



จากการเดินทางไปเยี่ยมชมการจัดการเรียนการสอนของโรงเรียนในพื้นที่สูงและได้รับฟังความคิดเห็นบางส่วน ทำให้เห็นว่าเรื่องที่ควรให้ความสนใจมีหลายประเด็น ที่สำคัญคือ เรื่องของลักษณะพิเศษของสังคม ประชาชน และชุมชน รวมทั้งต้องคำนึงถึงความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศที่มาเกี่ยวข้อง ของประเทศเพื่อนบ้าน และเศรษฐกิจของประเทศใหญ่ๆ ที่มีบทบาทต่อภูมิภาคนี้ ทำให้แนวความคิดเกี่ยวกับการส่งเสริมประชาชนของไทย ควรจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย เช่น เราอาจจะเคยมองปัญหาเด็กเยาวชน ประชาชน ที่เป็นภาระของหลายฝ่ายที่ต้องดูแล แต่ปัจจุบันอาจจะมองว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สามารถพัฒนาได้ และนำมาช่วยพัฒนาประเทศได้ ซึ่งในเรื่องเหล่านี้จะเสวนาในรายละเอียดต่อไป



ส่วนประเด็นที่จะต้องให้ความสนใจและให้ความสำคัญเป็นอย่างมากคือ การสอนภาษาไทยสำหรับผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาแม่ แม้จะมีองค์ความรู้อยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่ยังมีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ให้ได้ผล เพราะการเรียนวิชาต่างๆ ต้องใช้ภาษาไทยเป็นหลัก แต่หากเราสอนภาษาไทยไม่ได้ดีตั้งแต่ต้น หรือตลอดทาง การจะให้เด็กได้เรียนรู้วิชาต่างๆ ได้ดีก็เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยาก นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา การร่วมมือกับเครือข่ายต่างๆ กับภาครัฐ ภาคเอกชนและชุมชนเข้ามาช่วยเหลือกัน การดูแลอุดหนุนและให้การสนับสนุนโรงเรียนอย่างเหมาะสม เพื่อให้โรงเรียนเล็กๆ โรงเรียนในที่ลำบาก สามารถได้รับความช่วยเหลือมากขึ้น มากกว่าการจะพึ่งพาอาศัยเฉพาะเงินอุดหนุนรายหัว  ภายหลังพิธีเปิด รมว.ศธ.และคณะผู้บริหาร ได้ชมนิทรรศการความก้าวหน้าของสถานศึกษาและหน่วยงานต่างๆ ที่จัดการศึกษาในเขตพื้นที่สูงและชายแดนของจังหวัดเชียงราย






รมว.ศธ.ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนเพิ่มเติม
จากผลการเสวนาในประเด็นต่างๆ ดังนี้

- การผลิตและพัฒนาครู เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องคิดวางระบบวางแผน เพื่อที่จะได้ครูที่มีองค์ความรู้พร้อมที่จะมาสอนในพื้นที่ที่มีทั้งความแตกต่างหลากหลาย เอกลักษณ์ และอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม โดยส่งเสริมให้คนในพื้นที่เป็นครูมากขึ้น ส่งเสริมแรงจูงใจ เส้นทางความก้าวหน้าทางอาชีพ และสวัสดิการต่างๆ เพื่อให้อยู่ได้นานๆ เพราะปัญหาก็คือ ครูมาจากที่อื่นอยู่ไม่นานก็จะย้ายออกไป เนื่องจากไม่ได้ครูที่เข้าใจพื้นที่ เข้าใจสภาพความเป็นจริง และมีประสบการณ์เพียงพอ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่จะต้องดูทั้งระบบของ ก.ค.ศ. และคุรุสภามาประกอบด้วย ในส่วนของการผลิตครู ต้องดูการวางระบบกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจะต้องสร้างความเข้าใจระดับนโยบายของผู้บริหาร ครูผู้สอน และให้คนในเมืองยอมรับความแตกต่างของชนเผ่า

- ทักษะด้านอาชีพ  จะต้องสร้างระบบ กลไก ให้เด็กในพื้นที่สูง มีทักษะด้านอาชีพที่หลากหลาย มีงานทำ เพื่อใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ ปลูกฝังความรับผิดชอบ ซื่อสัตย์สุจริต ขยันขันแข็ง

- การจัดการศึกษาที่สอดคล้องกับสภาพเฉพาะของพื้นที่  ซึ่งขณะนี้มีตัวอย่างที่ดีๆ เช่น บางโรงเรียนสอน 2-3 ระบบ เป็นการสอนเด็กตามสภาพที่แตกต่างกันอย่างมาก ด้วยวิธีการและใช้เวลาที่ต่างกัน เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า การจัดการศึกษาในพื้นที่เช่นนี้จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับทั้งประเทศ ทั่วประเทศไม่ได้ ซึ่งองค์ความรู้มีอยู่แล้วในพื้นที่ แต่ต้องพัฒนาและหาหลักเกณฑ์ โดยเฉพาะการมีมาตรฐานกลาง ข้อสอบกลางแบบ O-Net ที่จะนำมาใช้ด้วยความเข้าใจและเพื่อให้รู้สภาพสถานะการจัดการศึกษา ในการที่จะพัฒนาปรับปรุงต่อไป รวมทั้งนำมาใช้เพื่อให้รางวัล ความก้าวหน้า ความสำเร็จ จะต้องให้คะแนนและน้ำหนักกับการทำงานในพื้นที่ที่มีลักษณะเช่นนี้เป็นหลัก

- การสอนภาษา  เป็นเรื่องใหญ่มากที่จะต้องนำความรู้ ประสบการณ์ทั้งหมดมาแลกเปลี่ยนกัน เพื่อพิจารณาหาแนวทางการสอนภาษาไทยให้ได้ผล มีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างชัดเจน ซึ่งทุกฝ่ายมีความเห็นตรงกันว่า ควรจะต้องเพิ่มเวลาการเรียนการสอน มีการสอนอย่างเข้มข้น ลดชั่วโมงเรียนวิชาอื่นๆ และต้องสอนโดยผู้ที่รู้ถึงการสอนภาษาไทยสำหรับผู้ที่ไม่ได้มีภาษาไทยเป็นภาษาแม่ แต่ใช้ภาษาของชนเผ่าหรือภาษาถิ่นเป็นภาษาแม่ ซึ่งจะต้องมีวิธีเรียนวิธีสอนที่แตกต่างจากการสอนเด็กที่มีภาษาไทยเป็นภาษาแม่ มีการพัฒนาทั้งสื่อการเรียนการสอน หนังสือเรียน วิธีสอน การสอนสองภาษาควบคู่กัน และการเพิ่มเวลาสอน เป็นเรื่องที่คิดอย่างเร่งด่วน เพราะหากสอนภาษาไทยไม่ได้ผล เด็กก็จะไม่มีเครื่องมือในการเรียนรู้วิชาต่างๆ และการจะประสบความสำเร็จก็จะทำได้ยาก ทั้งนี้ สำหรับการให้เด็กไปเรียนใน 2 โรงเรียน เพื่อเรียนภาษาไทยและภาษาจีนนั้น อาจต้องมีนโยบายพิเศษให้เรียนในวิชาที่ถนัด เช่น ภาษาอังกฤษอย่างเดียว หรือภาษาจีนอย่างเดียว จึงขอให้ไปช่วยคิดหาแนวทางกันต่อไป

- การนำเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่น อุปกรณ์ เครื่องมือ ที่จะให้เด็กเข้าถึง Wi-Fi หรืออินเทอร์เน็ต เพื่อเรียนรู้จากข้อมูลข่าวสารที่มีมากมาย ทั้งที่ผ่านอินเทอร์เน็ตและไม่ใช้อินเทอร์เน็ต ต้องพัฒนาอย่างจริงจัง ซึ่งจะช่วยในการจัดการศึกษาในพื้นที่ได้เป็นอย่างมาก


http://www.moe.go.th/websm/2014/mar/060.html